คอนเทนต์ดังเป็นไวรัล เขาทำแบบไหนกันนะ?
คอนเทนต์ (Content) ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ, วิดีโอ, ภาพ, อินโฟกราฟิกและอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจอย่างยิ่ง เพราะคอนเทนต์คือสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างแบรนด์และลูกค้าโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นคอนเทนต์ยังมี Soft Power ในการกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อหรือไม่อยากซื้อได้ด้วยเช่นกันอ่านมาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเริ่มเห็นความสามารถของเจ้าคอนเทนต์กันแล้ว จนสงสัยว่า “เอ๊ะ…แล้วทำยังไงให้เป็นเหมือนตัวอย่างคอนเทนต์ปัง ๆ จนเป็นไวรัลได้ล่ะ” ซึ่งบอกเลยว่าแม้ตอนนี้ยังไม่ได้มีรูปแบบตายตัวของความสำเร็จก็จริง แต่เราจะขอมาแชร์ถึงประสบการณ์ว่าด้วยเรื่องของการยิงโฆษณา Facebook ด้วยคอนเทนต์กันว่าทำไมยังไงถึงจะได้ผลตอบรับที่ดี
Case Study
จากการทดลองยิงโฆษณาบนเฟซบุ๊กรูปแบบ การมีส่วนร่วม (Engagement) ซึ่งเป็นวิธีการเริ่มต้นสำหรับคนที่ยังไม่มีข้อมูลกลุ่มลูกค้าเดิม สองตัวอย่างโฆษณาจะมีความแตกต่างกันที่กลุ่มโฆษณาและกลุ่ม Interest หรือเรียกอีกอย่างว่ากลุ่ม Custom Audience
โดยโฆษณาทั้งสองเป็นโฆษณาจากเพจ Makesure ร่างเอกสารสัญญา ที่มีไว้เพื่อบริการร่างเอกสารสัญญาทางกฎหมายทุกประเภทโดยนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ตัวอย่างที่ 1
โฆษณา “3 เหตุผลที่ธุรกิจควรทำสัญญา” เป็นโฆษณาแนว How to ที่บอกถึงเหตุผลข้อดีของการทำสัญญา โดยภาพของโฆษณาตั้งใจทำให้สื่อถึงกลุ่มคนวัยทำงาน เป้าหมายในการยิงโฆษณาเรามองว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเจ้าของกิจการและนักธุรกิจ ลองมาดูในส่วนของ Custom Audience กัน
- ตำแหน่งที่ตั้ง ไทย
แน่นอนว่าเราต้องการกลุ่มลูกค้าในประเทศจึงเลือกในส่วนประเทศไทย
- อายุ 22 – 45 ปี
เหตุผลเพราะบริการร่างสัญญากฎหมายออนไลน์น่าจะเหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงเลือกกลุ่มที่อยู่ระหว่าง 22 – 45 ปี
- ภาษาไทย
จริงๆแล้วควรจะเลือกทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ สำหรับคนที่เล่นเฟซบุ๊กหน้าต่างเป็นภาษาอังกฤษในประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
มาถึงในจุดสำคัญของการเริ่มต้นยิงโฆษณา ผู้เขียนขอเรียกว่าการกำหนด Interest (ตรงตัว)
- ความสนใจ (Interest)
เมื่อเราต้องการกลุ่มเจ้าของกิจการและนักธุรกิจจึงได้ Interest คือ กิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก, ผู้ประกอบการ และ ฟรีแลนซ์ (ในส่วนของฟรีแลนซ์เรามองว่าน่าจะเหมาะกับกลุ่มที่ต้องทำสัญญาไว้ด้วย)
หลักในการทำ Interest นั้น ควรมี Interest อยู่แค่ 1 – 3 Intesrest ไม่ควรมากกว่านั้น เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายตามโฆษณาที่เราได้เลือกไว้
- ระดับการศึกษา
เลือกจากคนที่จบระดับมหาวิทยาลัยขึ้นไป เพราะมีโอกาสที่จะทำงานฟรีแลนซ์ และเป็นระดับผู้จัดการหรือเจ้าของบริษัท ซึ่งในข้อมูลส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ (บางครั้งอาจจะคิดเยอะเกินไป)
- สถานะความสัมพันธ์
ข้อมูลที่เราคิดกับความเป็นจริงอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ เช่น ในเรื่องของโสด และ กำลังคบหาดูใจ ที่ได้ยิงไป ความจริงแล้วโฆษณาอาจจะเหมาะกับกลุ่ม Family ก็ได้ ดังนั้นในข้อนี้จริง ๆ ไม่ต้องใส่ก็ได้
- อุตสาหกรรม มองถึงผู้คนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจและการเงิน
ที่เหลือขอข้ามรายละเอียดปลีกย่อย เราลองมาดูในเรื่องของผลลัพธ์จากการตั้งกลุ่มเป้าหมายประเภทนี้กัน
เมื่อมองที่มุมบนซ้ายจะเห็นว่าเราจะได้กลุ่มเป้าหมายถึง 4 – 4.5 ล้านคนที่อยู่ในประเทศไทย ในกลุ่มของบุคคลที่เข้าถึงจะเห็นว่าเป็นผู้ชายและผู้หญิงในสัดส่วนที่ใกล้กัน สถานะการคบหาและระดับการศึกษานั้นเลือกช่วงอายุที่ถือว่าค่อนข้างได้ประสิทธิภาพ (แต่ความจริงไม่จำเป็นต้องกำหนดรายละเอียดในส่วนนี้ก็ได้) ในส่วนของตำแหน่งงานได้การขาย 211% และด้านบริหารจัดการถึง 22% อยู่ในส่วนมากที่สุด ลองมาดูในส่วนของการกดถูกใจเพจกัน
อันดับที่ 1 และ 2 ตามมาติด ๆ คือ ตีแผ่ชีวิตมหาลัย และ JobThai เมื่อมองในส่วนนี้จริง ๆ แล้วไม่ค่อยจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราสักเท่าไหร่ ทางที่ดีควรจะได้กลุ่มกดถูกใจเพจให้ตรงหรือใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายของเราก็จะดี ก่อนที่ไปดูผลลัพธ์ เราลองมาดูตัวอย่างที่ 2 กัน
ตัวอย่างที่ 2
โฆษณา “7 สิ่งสำคัญที่ฟรีแลนซ์ต้องเขียนในใบสัญญาก่อนโดนโกง” เป็นคอนเทนต์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายฟรีแลนซ์เพียงกลุ่มเดียว เราลองมาดูในส่วน Custom Audience กัน
- ประเทศ ไทย เน้นกลุ่มคนที่อยู่ภายในประเทศ
- อายุ 22 – 35 มองว่ากลุ่มฟรีแลนซ์ที่สนใจคอนเทนต์จำกัดให้อยู่ในกลุ่มของคนที่พึ่งจบใหม่
- เพศ กำหนดให้อยู่ในกลุ่มทั้งชายและหญิง
- ภาษา รอบนี้มีการปรับให้เข้ากับกลุ่มคนที่เล่นเฟซบุ๊กภาษาหลัก ๆ
เราลองมาดูในส่วนของ Interest กัน ครั้งนี้ผมเลือกกลุ่มคนที่สนใจเรื่อง “ฟรีแลนซ์” อย่างเดียว ใช้ Interest ตัวเดียวโต้ง ๆ (ความสนใจที่ตกหล่นด้านล่างคือ ฟรีแลนซ์ นะครับ ) จากนั้นมาดูในส่วนของประชากรกัน
ในส่วนของข้อมูล Audience ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมาก เรามาดูการถูกใจเพจของกลุ่มนี้กัน
เพจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงกลุ่มฟรีแลนซ์ชอบติดตามกัน ถือว่าค่อนข้างตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ตอนนี้ถึงเวลามาดูผลลัพธ์
ผลลัพธ์จากทั้งสองตัวอย่าง
ผลลัพธ์ทั้งสองใช้เวลาในการยิงโฆษณาไม่ต่างกันมากอยู่ที่ประมาณ 1 อาทิตย์ และใช้งบประมาณที่วันละ 50 บาทเท่านั้น เราลองมาดูผลลัพธ์ของทั้งสองกัน
ตัวอย่างที่ 1
ตัวอย่างที่ 2
- การกดถูกใจ
ตัวอย่างที่ 1 มีการกดถูกใจถึง 1.7 พันไลน์ ส่วนตัวอย่างที่ 2 มีการกดถูกใจเพียงแค่ 376 ไลน์ ถือว่าตัวอย่างที่ 1 ชนะในเรื่องของการกดถูกใจ
- คนเข้าดูและมีส่วนร่วม
ตัวอย่างที่ 2 ชนะในส่วนนี้เพราะการมีส่วนร่วมที่มีถึง 5,029 นั้นมีมากกว่า ตัวอย่างที่ 1
- การแชร์
ตัวอย่างที่ 1 มีการแชร์อยู่เพียง 12 ครั้ง ในขณะที่ตัวอย่างที่ 2 แชร์ถึง 329 ครั้ง จึงให้ตัวอย่างที่ 2 เป็นฝ่ายชนะ
เราลองมาดูค่าโฆษณาในการมีส่วนร่วมของทั้งสองตัวอย่างกัน
ต้นทุนต่อผลลัพธ์
ตัวอย่างที่ 1
ตัวอย่างที่ 2
เห็นว่าต้นทุนต่อผลลัพธ์ในโฆษณากลุ่มฟรีแลนซ์นั้นมีค่าโฆษณาที่น้อยกว่ามากถึง 2 เท่าตัว
สรุป เหตุผลที่ทำให้โฆษณาที่ดีค่าโฆษณาน้อย
จากการทดลองเราจึงสรุปได้ว่า
- คอนเทนต์ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- การแชร์มีผลต่อค่าโฆษณามากกว่าไลน์ เพราะถือว่ามีส่วนร่วมที่มากกว่า
สุดท้าย ในบทความนี้เป็นการพูดถึงเพียงแค่การยิงโฆษณาแบบเริ่มต้นที่กำหนด Custom Audience เท่านั้น ยังมีวิธีการยิงโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และทำให้ถึงกลุ่มลูกค้าที่ตรงตามเป้าหมายได้ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นการ Retargeting การ Lookalike Audience หรือที่ตอนนี้เป็นที่นิยมและได้ประสิทธิภาพอย่างมากอย่างการยิงผ่าน Facebook Pixel เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากเช่นกัน แล้วพบกันในบทความต่อ ๆ ไปครับ
(เรียนรู้วิธียิงแอด TikTok ต้องอ่าน: รวมเทคนิคการยิงแอดใน TikTok)
เราได้รู้แนวทางกันไปว่าการคอนเทนต์ให้ดี มีส่วนช่วยในการลดค่าโฆษณาและได้รับฟีดแบกที่ดีจากผู้ติดตามด้วย แต่หลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าจะทำคอนเทนต์รูปแบบไหนดี เดี๋ยวเราจะช่วยแนะนำประเภทคอนเทนต์ที่น่าทำให้ดังนี้
5 รูปแบบคอนเทนต์สุดปัง ดังได้ ดังดี ไม่มีแผ่ว
- คอนเทนต์ช่วยแก้ปัญหา
ไอเดียคอนเทนต์แบบแรกนั้นถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ใช้งานได้อย่างดี เช่น ทำคอนเทนต์สอนซักผ้ายังไงไม่ให้มีกลิ่นอับ ซึ่งตรงกับแบรนด์ของเราที่เป็นแบรนด์ผงซักฟอก หรือ คอนเทนต์แก้ปัญหาอัปคะแนนสอบวิชาคณิต โดยเราเป็นแบรนด์โรงเรียนกวดวิชา ซึ่งการทำคอนเทนต์แบบนี้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายของเรา เข้าถึงแบรนด์และรู้จักแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย ถือเป็นคอนเทนต์ ขายของเนียน ๆ ได้เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วคอนเทนต์แนวนี้เราจะใช้หลักการ SEO มาช่วยดันให้ติดหน้าแรก Google ร่วมด้วย ปัจจุบันมีบริการรับทำ SEO มากมาย
- คอนเทนต์ให้ความรู้
คอนเทนต์ให้ความรู้ถึงแม้จะไม่ได้ฮอตฮิตเท่ากับคอนเทนต์ที่แก้ปัญหา แต่ก็เป็นคอนเทนต์ที่หลาย ๆ คนเลือกที่จะไม่มองข้ามเป็นอันขาด ยิ่งในยุคนี้ที่ใครรู้มากกว่าก็ยิ่งได้เปรียบ ทำให้หลายคนถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปอ่านหรือดูคอนเทนต์ เจ๋ง ๆ แบบนี้โดยทันที แต่ก็มักจะแชร์เก็บไว้ก่อน ซึ่งนี่แหละที่ทำให้เพจหรือแบรนด์ของคุณได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
- คอนเทนต์ให้ความบันเทิง
หนึ่งในจุดประสงค์หลักที่คนเลือกเล่นมือถือเพื่อเสพคอนเทนต์ก็เพื่อ “ความบันเทิง” นี่แหละ ยิ่งคอนเทนต์ไหนมีความตลกจนอดยิ้มไม่ได้ก็ยิ่งเป็นไวรัลได้เร็วบนโลกออนไลน์ เช่น คอนเทนต์ TikTok, คลิปคนเล่นมุก, คลิปสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่คลิปโฆษณาตลก ๆ ด้วย
- คอนเทนต์ให้แรงบันดาลใจ
ทุกวันนี้หลาย ๆ คนต้องเจอกับปัญหาด้าน Mental Health กันมากขึ้นเรื่อย ๆ คอนเทนต์ให้แรงบันดาลใจหรือฮีลใจก็ช่วยเป็นที่พึ่งให้กับใครหลายคน นั่นจึงทำให้กระแสคอนเทนต์แนวนี้เป็นคอนเทนต์มาแรงที่กำลังบูมมากขึ้นเรื่อย ๆ เลย
- คอนเทนต์ แบบถามตอบ (Q&A)
หากคุณอยากให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการทำความรู้จักคุณมากขึ้น การทำคอนเทนต์โดน ๆ แนวนี้ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะมันจะทำให้ลูกค้าหรือคนดูรู้สึกอินไปกับการได้รู้จักแบรนด์ของคุณมากขึ้น และเพิ่มโอกาสที่เขาจะเป็นลูกค้าประจำได้อีกด้วยนะ
(เริ่มไอเดียตัน คิดคอนเทนต์ไม่ออก ต้องอ่าน: 12 Content ช่วยยกระดับแบรนด์ของคุณได้จริง)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
คอนเทนต์ เขียนยังไง ให้ผลตอบรับดี
– สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า: สร้างเนื้อหาที่จะแก้ไขปัญหา ให้ความรู้ หรือสร้างความบันเทิงสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
– สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ: ใช้เรื่องราวในเนื้อหาของคุณเพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงและความสนใจ
คอนเทนต์ มีกี่ประเภท
– ข้อความ: บทความ เรื่องราว
– ภาพ: รูปภาพและกราฟิก
– วิดีโอ: คลิปวิดีโอและภาพยนตร์
– เสียง: ไฟล์เสียง พอดแคสต์ หรือเพลง
– สื่ออินเตอร์แอคทีฟ: การสร้างสรรค์และปรับใช้สื่อเพื่อสร้างประสบการณ์แบบแอคทีฟ เช่นการใช้ VR หรือ AR