SEM คือ? แตกต่างกับ SEO ยังไง? ทำไมถึงสำคัญกับการตลาดออนไลน์

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน การทำการตลาดออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสำคัญ SEO และ SEM คือสองกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและเป็นที่จดจำในโลกออนไลน์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร และเทรนด์ล่าสุดของ SEO และ SEM คืออะไร มาอัปเดตความรู้กัน

SEM คืออะไร?

SEM ย่อมาจาก (Search Engine Marketing) คือ กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการใช้เครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ผ่านการโฆษณาที่ต้องจ่ายเงิน โดยทั่วไป SEM จะรวมถึงการทำโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถปรากฏขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาได้ทันทีเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน

SEM ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายหรือการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญ SEM ยังช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

SEM มีหลักการทำงานยังไง?

หลักการทำงานของ SEM เริ่มต้นจากการสร้างแคมเปญโฆษณาที่สามารถปรากฏบนหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ โดยขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้

  1. การกำหนดคำค้น (Keywords): ขั้นแรกคุณจะต้องทำการสำรวจและเลือกคำค้นที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งคำค้นเหล่านี้จะเป็นตัวที่ช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงขึ้นเมื่อผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้อง
  2. การสร้างโฆษณา: หลังจากนั้นคุณจะต้องออกแบบข้อความโฆษณาที่น่าสนใจและชัดเจน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ บทความโฆษณาควรมีคำกระตุ้นให้เกิดการคลิกและสอดคล้องกับคำค้นที่ถูกกำหนดไว้
  3. การตั้งค่าและการจัดการงบประมาณ: คุณจะต้องกำหนดงบประมาณสำหรับโฆษณา ระบุว่าต้องการจ่ายต่อคลิก (PPC) เท่าไหร่ และเลือกช่วงเวลาที่ต้องการให้แคมเปญทำงาน
  4. การวิเคราะห์และปรับปรุง: หลังจากเปิดแคมเปญไปแล้ว ควรมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ เช่น อัตราการคลิก (CTR) และการแปลง (Conversion Rate) เพื่อดูว่าโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากจำเป็น คุณสามารถปรับปรุงแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

SEM มีกี่แบบ อะไรบ้าง?

การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (SEM) แบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่ง แต่ละประเภทนั้นมีความสามารถและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยหลัก ๆ เราสามารถแบ่ง SEM ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

1. โฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click)

โฆษณาแบบ PPC เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงในการทำ SEM โดยที่ผู้โฆษณาจะต้องจ่ายเงินเมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณาของตน ซึ่งสามารถปรากฏบนหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา ในตัวอย่างที่เห็นทั่วไปคือ Google Ads ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งค่าการโฆษณาของตนเองตามงบประมาณที่กำหนด

2. โฆษณาแบบ CPC (Cost-Per-Click)

ในโฆษณาแบบ CPC นั้น ผู้โฆษณาจะจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่รับมา ซึ่งโฆษณาจะปรากฏตรงตามคำค้นที่เลือกไว้ เป็นวิธีที่ดีในการสร้างการเข้าชมที่ตรงเป้าหมาย

3. โฆษณาแบบ CPM (Cost-Per-Mille)

รูปแบบนี้คือการจ่ายเงินตามจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดงบนหน้าจอ โดยจ่ายเป็นราคาต่อ 1,000 ครั้งที่โฆษณาปรากฏ โฆษณาแบบ CPM มักเข้าใช้งานในการสร้างการรับรู้และการมองเห็นแบรนด์

4. โฆษณาแบบ CPCV (Cost-Per-Completed-View)

CPCV คือการจ่ายเงินต่อการดูโฆษณาแบบเต็ม ซึ่งมักใช้กับวีดีโอโฆษณา โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ซึ่งจะดึงดูดผู้ชมที่มีความสนใจเพิ่มขึ้น

5. ส่วนเสริมของโฆษณา (Ad Extensions)

การใช้ส่วนเสริมของโฆษณา เช่น การเพิ่มลิงก์ไปยังหน้าเว็บเฉพาะ หรือหมายเลขโทรศัพท์ ช่วยในการเพิ่มโอกาสในการคลิกและการตอบสนอง เนื่องจากให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้ใช้

6. โฆษณา Display

โฆษณาแบบ Display คือ การแสดงโฆษณาภาพหรือแบนเนอร์ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง

การทำ SEM วัดผลยังไง

การวัดผลของการทำ SEM เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาได้อย่างแม่นยำ โดยการวิเคราะห์ผลลัพธ์จะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถปรับปรุงกลยุทธ์และตัดสินใจเกี่ยวกับงบประมาณได้ดีขึ้น นี่คือวิธีการหลักในการวัดผลของ SEM

1. อัตราการคลิก (CTR)

อัตราการคลิก (Click Through Rate – CTR) คือสัดส่วนของผู้ใช้ที่คลิกที่โฆษณาเมื่อเทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง นี่คือวิธีการประเมินความน่าสนใจของโฆษณา โดย CTR = (จำนวนคลิก / จำนวนการแสดงผล) x 100%

2. อัตราการแปลง (Conversion Rate)

อัตราการแปลง (Conversion Rate) คือสัดส่วนของผู้ที่ทำการกระทำที่ตั้งใจไว้ (เช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียน หรือกรอกแบบฟอร์ม) เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านโฆษณา การคำนวณอัตราการแปลงทำได้ด้วยสูตร Conversion Rate = (จำนวนการแปลง / จำนวนคลิก) x 100%

3. ค่าใช้จ่ายต่อการแปลง (Cost Per Conversion)

ค่าใช้จ่ายต่อการแปลง (Cost Per Conversion) เป็นข้อมูลที่ช่วยบอกว่าคุณใช้จ่ายเงินเท่าไหร่ในการได้รับหนึ่งการแปลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่างบประมาณของคุณมีความคุ้มค่าหรือไม่ ค่าใช้จ่ายต่อการแปลง = งบประมาณที่ใช้ / จำนวนการแปลง

4. การวิเคราะห์คำค้น (Keyword Analysis)

การวิเคราะห์คำค้น (Keyword Analysis) ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ใช้ออนไลน์ค้นหาคืออะไร การติดตามประสิทธิภาพของคำค้นที่เลือกใช้จะช่วยในการปรับกลยุทธ์ SEM ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น หากบางคำค้นให้ผลดีกว่า สามารถเพิ่มการลงทุนในคำเหล่านั้นได้

5. การวิเคราะห์ ROI

การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน (Return on Investment – ROI) เป็นการประเมินว่าการลงทุนใน SEM ของคุณมีผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ การคำนวณ ROI = (รายได้ที่เกิดจากแคมเปญ – ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา) / ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา x 100%

6. การติดตามการมีส่วนร่วม (Engagement Tracking)

นอกจากการวัดผลด้วยตัวเลขที่เกี่ยวกับการคลิกและการแปลงแล้ว การติดตามการมีส่วนร่วม เช่น ระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บไซต์ หรือจำนวนหน้าที่ผู้เยี่ยมชมดู ยังสามารถเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการประเมินคุณภาพของการเข้าชมด้วย

SEM vs SEO ต่างกันยังไง?

เมื่อพูดถึงการตลาดออนไลน์ หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า SEM (Search Engine Marketing) และ SEO ย่อมาจาก (Search Engine Optimization) แต่ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างและข้อดีข้อเสียที่ชัดเจน นี่คือการเปรียบเทียบที่ช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง SEM และ SEO ได้ดียิ่งขึ้น

1. ความหมายและวิธีการทำงาน

  • SEM (Search Engine Marketing): SEM หมายถึงการใช้โฆษณาที่จ่ายเงินเพื่อเพิ่มการมองเห็นในเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการทำโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) โดยวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏขึ้นในตำแหน่งที่เด่นชัดในผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำค้นที่เกี่ยวข้อง
  • SEO (Search Engine Optimization): SEO คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา โดยมุ่งเน้นไปที่การทำให้เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่าต่อผู้ใช้งาน การใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงเนื้อหา การสร้าง Backlink และการพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหาแบบออร์แกนิก

2. ระยะเวลาในการเห็นผล

  • SEM: ผลลัพธ์จากการทำ SEM จะเห็นได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป คุณสามารถเริ่มเห็นผู้เข้าชมเว็บไซต์ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเปิดตัวแคมเปญโฆษณา
  • SEO: การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานกว่า คุณจะต้องใช้เวลาในการปรับแต่งและสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ อาจใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือนถึงปีถึงจะปรากฏในผลการค้นหาออร์แกนิก

3. ค่าใช้จ่าย

  • SEM: การทำ SEM จำเป็นต้องมีการลงทุนในโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก ซึ่งหมายความว่าคุณต้องจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่ผู้ใช้คลิกที่โฆษณาของคุณ
  • SEO: แม้ว่าจะไม่ต้องจ่ายเงินโดยตรงเหมือน SEM แต่การทำ SEO ต้องการการลงทุนในด้านเวลาและทรัพยากรในการสร้างเนื้อหาและปรับปรุงเว็บไซต์ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายในด้านการจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือเครื่องมือที่จำเป็น

4. ความทนทานและความยั่งยืน

  • SEM: การเข้าชมเว็บไซต์ผ่าน SEM จะหยุดทันทีเมื่อคุณหยุดลงทุนโฆษณา ซึ่งทำให้ผลลัพธ์มีความไม่ยั่งยืน
  • SEO: เมื่อเว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับในผลการค้นหาเป็นเวลานาน ผลลัพธ์จะมีความยั่งยืนมากขึ้น อาจมีคลื่นการเข้าเยี่ยมชมที่สูงขึ้นแม้ในขณะที่คุณไม่ต้องทำการโฆษณา

ในที่สุด การเลือกใช้ SEM หรือ SEO ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและงบประมาณของคุณ ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว SEM อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณมีเวลาและต้องการสร้างความยั่งยืนในผลลัพธ์ SEO จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในการสร้างการมองเห็นทางออนไลน์ในระยะยาว

หากต้องการทำ SEO หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO สอบถามรายละเอียดฟรี!! กับ FUNNEL

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEM คืออะไร

ควรเลือกใช้ SEM หรือ SEO?

ควรใช้ทั้งสองกลยุทธ์ร่วมกัน โดย SEM เหมาะสำหรับการเพิ่มการมองเห็นอย่างรวดเร็ว ส่วน SEO ช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

แพลตฟอร์มใดบ้างที่ใช้ทำ SEM ได้?

แพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการทำ SEM ได้แก่ Google Ads, Bing Ads, และ Yahoo Gemini โดย Google Ads เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

SEM เหมาะสำหรับธุรกิจประเภทใด?

SEM เหมาะสำหรับธุรกิจทุกประเภทที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นในเครื่องมือค้นหาและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้น

Similar Posts