Meta tag คืออะไร เทคนิคเขียนการ Meta tag ให้ดีต่อ SEO
Meta tag เป็นข้อมูลที่ซ่อนอยู่ใน HTML ของเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นหาและเบราว์เซอร์เข้าใจเนื้อหาของเพจได้ดียิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Meta tag รวมถึงเทคนิคการเขียนให้มีประสิทธิภาพในการปรับปรุง SEO
Meta tag ทำหน้าที่บอกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเว็บไซต์ เช่น ชื่อเว็บไซต์ คำอธิบาย และคำค้นหา รวมถึงการกำหนดรายละเอียดที่สำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหารู้ว่าเพจนี้เกี่ยวกับอะไร
Meta Tags คืออะไร สำคัญอย่างไร?
Meta Tags คือชุดข้อมูลที่ถูกแทรกไว้ในส่วนหัวของ HTML ของเว็บไซต์ ซึ่งช่วยในการบอกให้เครื่องมือค้นหาและผู้ใช้เข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเพจนั้นๆ โดยทั่วไปแล้ว Meta Tags จะมีหลายประเภท เช่น
- Meta Title – ชื่อเรื่องของเพจ ที่แสดงผลในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา และควรจะสื่อความหมายอย่างชัดเจน
- Meta Description – คำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาของเพจ ซึ่งช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปอ่านมากขึ้น
- Meta Keywords – คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีการใช้งานใน SEO เท่าไหร่นัก
ความสำคัญของ Meta Tags
- ช่วยในการจัดอันดับการค้นหา: Search Engines เช่น Google จะใช้ข้อมูลใน Meta Tags เพื่อช่วยในการจัดอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ หากข้อมูลมีความสอดคล้องและมีคุณภาพ อาจเพิ่มโอกาสในการปรากฏในตำแหน่งที่สูงขึ้น
- ดึงดูดผู้ใช้: Meta Description ที่เขียนได้ดีช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) เพราะมันมีบทบาทในการดึงดูดให้ผู้ใช้สนใจเข้าไปดูเว็บไซต์ของคุณ
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา: สำหรับผู้ใช้ที่ดูผ่านผลการค้นหา เช่น Google Search, การมี Meta Tags ที่ชัดเจนช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเพจไหนตรงตามความต้องการ
Meta Tags มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
Meta Tags มีหลายประเภทที่สามารถใช้เพื่อระบุข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์และเนื้อหาในเพจ โดยทั่วไปแล้ว ประเภทหลัก ๆ ที่นิยมใช้ได้แก่
- Meta Title: เป็นชื่อเรื่องของเพจ ซึ่งจะแสดงในผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหา นอกจากนี้ยังควรเลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผล
- Meta Description: คือคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาบนเพจ โดยจะปรากฏใต้ชื่อเรื่องในผลการค้นหา คำอธิบายที่ดีจะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น
- Meta Robots: ควบคุมการเข้าถึงของเครื่องมือค้นหาต่อเพจ โดยสามารถบอกให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าควรทำการดัชนีเพจนี้หรือไม่
- Meta Keywords: คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้การใช้ Meta Keywords ใน SEO ลดความสำคัญลง เนื่องจากเครื่องมือค้นหาไม่พิจารณาอย่างมาก
- Meta Viewport: ใช้ในการกำหนดขนาดและการปรับขนาดของหน้าจอในอุปกรณ์มือถือ ทำให้เว็บไซต์ตอบสนองได้ดีขึ้นในอุปกรณ์ที่มีขนาดหน้าจอแตกต่างกัน
- Meta Charset: ระบุการเข้ารหัสตัวอักษรของเอกสาร เช่น UTF-8 ซึ่งเป็นการช่วยให้การแสดงผลตัวอักษรถูกต้อง
แจกเทคนิคการเขียน Meta Tag ยังไงให้ดีต่อ SEO
การเขียน Meta Tags ให้มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดึงดูดผู้ใช้ แต่ยังสามารถเพิ่มความสามารถในการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาได้อีกด้วย
- ใช้คำหลักอย่างมีกลยุทธ์: ควรเลือกใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเพจใน Meta Title และ Meta Description เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเพจของคุณมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร คำหลักควรมีความเหมาะสมและไม่เยอะเกินไป
- เขียน Meta Title ให้มีความชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์: ชื่อเรื่องควรมีความกระชับ อยู่ในระหว่าง 50-60 ตัวอักษร และไม่ควรซ้ำกับเพจอื่นในเว็บไซต์เดียวกัน ควรแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาหลักของเพจนั้น ๆ
- สร้าง Meta Description ที่ดึงดูด: คำอธิบายควรมีความยาวระหว่าง 150-160 ตัวอักษร เลือกใช้ภาษาที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกน่าสนใจและกระตุ้นให้คลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติม โดยสามารถใช้คำเรียกร้อง (Call-to-action) เช่น “เรียนรู้เพิ่มเติม”, “คลิกที่นี่”, หรือ “รับข้อเสนอพิเศษ”
- หลีกเลี่ยงการใช้ Meta Keywords: เนื่องจาก Google หันเหไปใช้วิธีการอื่นในการจัดอันดับ คำค้นหาไม่ควรถูกใส่ใน Meta Tags เพราะจะไม่มีผลใน SEO และอาจทำให้ดูเหมือนว่าเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำ
- ตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูล: ควรทำให้ Meta Tags สอดคล้องกับเนื้อหาจริงของเพจ การเขียนที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนจะช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ว่าคุณมีเนื้อหาอย่างไรและมีความน่าเชื่อถือ
- ให้ความสำคัญกับ Mobile Optimization: เมื่อเขียน Meta Tags ให้คำนึงถึงประสบการณ์ใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ โดยเลือกใช้ภาษาที่กระชับและหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ยาวเกินไป
- อัปเดตแต่อย่าลืมทดสอบ: ควรตรวจสอบและปรับปรุง Meta Tags เป็นระยะ ๆ โดยใช้เครื่องมือ SEO เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงมีผลต่ออันดับและการเข้าชมเว็บไซต์อย่างไร
ข้อควรระวังในการเขียน Metatags
การเขียน Meta Tags เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน ซึ่งต้องคำนึงถึงข้อควรระวังหลายประการ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุดจากการปรับแต่งเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ข้อความที่ซ้ำซ้อน: การใช้ Meta Title และ Meta Description ที่เหมือนกันกับหลายเพจในเว็บไซต์อาจทำให้เกิดความสับสนและลดโอกาสในการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาได้ ควรเขียนให้มีความเฉพาะเจาะจงต่อแต่ละเพจ
- ไม่ควรใช้คำหลักมากเกินไป: แม้ว่าการใช้คำหลักใน Meta Tags จะสำคัญ แต่การใช้มากเกินไปหรือใช้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมชาติ (Keyword Stuffing) จะส่งผลลบต่อประสิทธิภาพ SEO และอาจทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าข้อความไม่ตรงไปตรงมา
- อย่าใช้ Meta Keywords: เนื่องจาก Meta Keywords ไม่ถูกนำมาใช้ในการจัดอันดับใน Google ควรหลีกเลี่ยงการใส่คำหลักในส่วนนี้ เพราะจะไม่ช่วยในการปรับปรุง SEO และอาจทำให้ดูเหมือนเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำหรือเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจาก Google
- ตรวจสอบความเข้ากันได้และความถูกต้อง: ข้อมูลใน Meta Tags ควรตรงกับเนื้อหาจริงของหน้าเว็บ เพื่อหลีกเลี่ยงการหลอกลวงผู้ใช้งาน การให้ข้อมูลที่ผิดพลาดอาจทำให้ความเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลง
- อย่าลืมทำการทดสอบ: ควรทดสอบผลลัพธ์ของ Meta Tags ที่คุณเขียนด้วยเครื่องมือ SEO วิเคราะห์การเข้าชมและการเปลี่ยนแปลงอันดับ เพื่อทำความเข้าใจว่าการปรับปรุงนั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่
- ระวังสัญลักษณ์พิเศษและการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม: การใช้สัญลักษณ์พิเศษหรือภาษาที่ไม่เหมาะสมใน Meta Tags อาจทำให้ข้อความอ่านยากและไม่ชัดเจน ควรเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมและมีความเข้าใจง่าย
- หลีกเลี่ยงการเขียนที่ยาวเกินไป: Meta Title ควรมีความยาวประมาณ 50-60 ตัวอักษร และ Meta Description ควรมีความยาวประมาณ 150-160 ตัวอักษร เพื่อให้มั่นใจว่าจะแสดงผลอย่างครบถ้วนในหน้าผลลัพธ์การค้นหา
หากต้องการทำ SEO หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO สอบถามรายละเอียดฟรี!! กับ FUNNEL
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ meta tag คืออะไร
การใช้ Meta Tags มีผลต่อ SEO อย่างไร?
Meta Description คืออะไร และควรเขียนอย่างไร?
Canonical Tag คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
Canonical Tag ใช้เพื่อระบุว่า URL ใดเป็นแหล่งข้อมูลต้นทางที่ถูกต้องเมื่อมีเนื้อหาซ้ำกันในหลาย URL ซึ่งช่วยป้องกันปัญหา Duplicate Content ที่อาจส่งผลเสียต่อ SEO และช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบว่า URL ใดที่ควรจัดอันดับ