เทคนิควิธีหา Keyword สอนใช้โปรแกรมหา Keyword อย่างละเอียด
ในยุคที่การทำการตลาดออนไลน์กำลังเป็นที่นิยม การหา Keyword ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคและโปรแกรมที่คุณสามารถใช้ในการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ
Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไร ?
Keyword หรือคำค้นหมายถึงคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตใช้ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางเครื่องมือค้นหา เช่น Google การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ แต่ยังส่งผลต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการทราบข้อมูลหรือบริการที่คุณนำเสนอ
การมี Keyword ที่ตรงตามความต้องการของผู้ค้นหายังสามารถช่วยเพิ่มอันดับการค้นหา (SEO) ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีโอกาสสูงขึ้นในการแสดงผลในหน้าแรกของผลการค้นหา ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น
การเลือก Keyword ที่ดีจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในหมู่คู่แข่งและนำไปสู่การเพิ่มยอดขายหรือการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รู้จักประเภทของ Keyword มีอะไรบ้าง
การเลือก Keyword ที่เหมาะสมนั้นไม่ใช่เพียงการใช้คำหนึ่งคำเพียงเท่านั้น แต่ยังมีประเภทของ Keyword ที่แตกต่างกันซึ่งสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไป Keyword สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
1. Keyword หลัก (Primary Keywords)
Keyword หลักคือคำหลักที่มีความสำคัญสูงสุดสำหรับเนื้อหาที่คุณนำเสนอ มักจะแสดงถึงหัวข้อหลักหรือบริการที่คุณให้ ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นสามารถระบุเนื้อหาของคุณได้อย่างชัดเจน
2. Long-Tail Keywords
Long-Tail Keywords คือคำค้นที่มีความยาวมากขึ้น โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 คำขึ้นไป คำเหล่านี้มักจะมีการแข่งขันต่ำกว่าและมีอัตราการแปลงที่สูง เนื่องจากเป็นคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น “รองเท้าผ้าใบผู้หญิงสีดำ” จะเจาะจงกว่าคำว่า “รองเท้า”
3. Keywords ตามความตั้งใจ (Intent-based Keywords)
Keywords ตามความตั้งใจแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- Informational Keywords: คำค้นที่ผู้ใช้ใช้เพื่อหาข้อมูล ตัวอย่างเช่น “วิธีทำขนมเค้ก”
- Navigational Keywords: คำค้นที่ใช้เพื่อนำไปยังเว็บไซต์หรือหน้าต่าง ๆ เช่น “Facebook login”
- Transactional Keywords: คำค้นที่มีเจตนาซื้อ เช่น “ซื้อเครื่องสำอางออนไลน์”
4. Geographic Keywords
Geographic Keywords เป็นคำค้นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ มักใช้โดยธุรกิจที่มีการให้บริการในพื้นที่เฉพาะ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานในท้องถิ่นสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น เช่น “ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ”
5. Brand Keywords
Keyword ประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับชื่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ โดยใช้เมื่อผู้ใช้ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์เฉพาะ เช่น “Nike รองเท้า”
6. Negative Keywords
Negative Keywords คือคำค้นที่คุณไม่ต้องการให้แสดงผลเมื่อค้นหาด้วย Keyword หลัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะช่วยลดการเข้าชมจากกลุ่มที่ไม่ตรงกับความต้องการ ทั้งยังทำให้คุณประหยัดงบประมาณในการทำโฆษณา
ตัวอย่าง Keyword แต่ละประเภท
การรู้จักและแยกแยะประเภทของ Keyword ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกใช้ที่ถูกต้องในการทำการตลาดออนไลน์ นี่คือตัวอย่าง Keyword แต่ละประเภทเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
1. Keyword หลัก (Primary Keywords)
- ตัวอย่าง: “บริการทำความสะอาดบ้าน”
ในตัวอย่างนี้ คำว่า “บริการทำความสะอาดบ้าน” เป็นคีย์เวิร์ดหลักที่ระบุชัดเจนว่าเนื้อหาจะเกี่ยวกับบริการนั้น ๆ
2. Long-Tail Keywords
- ตัวอย่าง: “บริการทำความสะอาดบ้านในกรุงเทพฯ”
Keyword นี้เป็น Long-Tail Keyword เพราะมีคำประกอบมากกว่า 3 คำ และเป็นการเจาะจงมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการบริการเฉพาะ
3. Keywords ตามความตั้งใจ (Intent-based Keywords)
- Informational Keywords: “วิธีปลูกต้นไม้ในบ้าน”
- Navigational Keywords: “Google Drive login”
- Transactional Keywords: “ซื้อคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์”
4. Geographic Keywords
- ตัวอย่าง: “บริการซ่อมรถยนต์ในเชียงใหม่”
นี่คือ Keyword ที่เน้นการให้บริการในพื้นที่เฉพาะ ทำให้ผู้ใช้งานในท้องถิ่นสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น
5. Brand Keywords
- ตัวอย่าง: “Adidas รองเท้าแบรนด์”
Keyword นี้เกี่ยวข้องกับแบรนด์ Adidas ซึ่งผู้ใช้ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์
6. Negative Keywords
- ตัวอย่าง: “ฟรี”
การใช้คำว่า “ฟรี” เป็น Negative Keyword เมื่อคุณต้องการให้โฆษณาของคุณไม่แสดงเมื่อคำค้นหามีการใช้คำนั้น เช่น หากคุณขายบริการที่มีค่าใช้จ่าย คุณไม่ต้องการให้ปรากฏเมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “ฟรี”
ลักษณะของ keyword ที่ดีเป็นยังไง
การเลือกใช้ Keywords ที่ดีมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ นี่คือลักษณะที่ทำให้ Keyword เป็นที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance)
- Keyword ควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือบริการที่นำเสนอ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลดอัตราการตีกลับ (bounce rate) และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume)
- คำค้นที่ดีควรมีปริมาณการค้นหาสูง แสดงว่ามีผู้ใช้งานจำนวนมากที่สนใจคำค้นนั้น แต่นอกจากนี้ก็ควรต้องคำนึงถึงการแข่งขันด้วย หากมีการแข่งขันสูง อาจจะต้องคิดว่าจะใช้ Long-Tail Keywords เพื่อหาความเฉพาะเจาะจงและง่ายต่อการเข้าถึง
- ความเฉพาะเจาะจง (Specificity)
- Keyword ที่เจาะจงหรือ Long-Tail Keyword จะช่วยให้การค้นหามีความเฉพาะเจาะจงและตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เช่น แทนที่จะใช้คำว่า “รองเท้า” ให้ใช้ “รองเท้าวิ่งผู้หญิง Nike” ซึ่งช่วยให้เจาะกลุ่มลูกค้าได้ดีกว่า
- การออกเสียงและการสะกด (Simplicity and Spelling)
- Keyword ที่ดีควรเขียนง่ายและไม่มีการสะกดที่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่เกิดความสับสนเมื่อค้นหา ช่วยให้การค้นหามีประสิทธิภาพสูงสุด
- การคาดเดาแนวโน้ม (Timeliness)
- การเลือกใช้ Keywords ที่ตรงตามแนวโน้มของตลาด หรือที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหา การเกาะกระแสเทรนด์ให้ทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
- ค่าการแข่งขัน (Competition Level)
- คุณควรเลือก Keywords ที่มีระดับการแข่งขันที่เหมาะสม หากแข่งขันต่ำสามารถช่วยให้คุณติดอันดับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามีการแข่งขันสูงอาจทำให้คุณต้องลงทุนมากขึ้นในแคมเปญการตลาด
แนะนำเครื่องหา Keyword
การหา Keyword ที่เหมาะสมไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ แต่ยังสามารถทำให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้เราจะมาแนะนำเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยคุณหา Keyword ที่เหมาะสมที่สุด
1. Google Keyword Planner
เครื่องมือที่เป็นที่นิยมจาก Google นี่ช่วยให้คุณค้นหาคำค้นและดูปริมาณการค้นหาที่เกี่ยวข้องได้อย่างละเอียด ไม่ว่าคุณจะสร้างโฆษณาหรือทำ SEO Google Keyword Planner จะช่วยคุณในการวางแผนกลยุทธ์ของคุณได้ดี
2. SEMrush
SEMrush เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคำค้น ไม่เพียงแต่สามารถหา Keyword แต่ยังสามารถวิเคราะห์การแข่งขัน ค้นหาคำค้นที่คู่แข่งใช้ และดูแนวโน้มการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา
3. Ahrefs
Ahrefs มีฟังก์ชั่นในการค้นหาคำค้นที่ครอบคลุม โดยคุณสามารถวิเคราะห์ความนิยมของ Keyword, คาดการณ์ Traffic, และทำการวิเคราะห์การจัดอันดับของคู่แข่ง เครื่องมือนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง
4. Ubersuggest
Ubersuggest เป็นเครื่องมือฟรีที่ใช้งานได้ง่าย ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหา Keyword พร้อมกับข้อมูลที่สำคัญ เช่น ปริมาณการค้นหา และแรงบันดาลใจในการใช้ Keyword ต่างๆ นอกจากนี้ มันยังช่วยในการวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งด้วย
5. AnswerThePublic
เครื่องมือนี้ให้ข้อมูลที่แสดงคำถามและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่คุณค้นหา โดยใช้รูปแบบการแสดงผลที่ใช้งานง่าย คุณสามารถดูว่าผู้ใช้งานค้นหาอะไรเกี่ยวกับ Keyword นี้ ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างเนื้อหาของคุณ
วิธีวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ
การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพนั้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO และการตลาดออนไลน์ เพื่อให้คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ตรวจสอบปริมาณการค้นหา (Search Volume)
การศึกษาปริมาณการค้นหาของคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ ปริมาณการค้นหาสูงแสดงว่าผู้คนสนใจในหัวข้อนั้น ๆ มาก แต่ก็ไม่ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงเกินไป หากคุณยังใหม่ในโลกของ SEO
2. วิเคราะห์ความเกี่ยวข้อง (Relevance)
เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณ ความเกี่ยวข้องจะช่วยให้เนื้อหาของคุณมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้งาน และสร้างโอกาสในการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้าได้มากขึ้น
3. ตรวจสอบการแข่งขัน (Competition Analysis)
คุณจำเป็นต้องตรวจสอบระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก หากคุณพบว่ามีเว็บไซต์จำนวนมากที่ติดอันดับสูงสำหรับคีย์เวิร์ดนี้ อาจจะทำให้คุณต้องใช้เวลานานในการแข่งขันเพื่อให้ติดอันดับ
4. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์
ใช้งานเครื่องมือที่กล่าวถึงข้างต้น เช่น Google Keyword Planner หรือ SEMrush เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคีย์เวิร์ด ทั้งในด้านปริมาณการค้นหาและความนิยมในกลุ่มเป้าหมาย
5. ตรวจสอบแนวโน้มการค้นหา (Search Trends)
การตรวจสอบว่าแนวโน้มการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน เช่น Google Trends สามารถช่วยให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจน ว่าคีย์เวิร์ดนี้ยังคงเป็นที่นิยมอยู่หรือไม่
6. วิเคราะห์ผลลัพธ์ความสำเร็จ
เมื่อคุณเริ่มใช้คีย์เวิร์ดที่เลือกมาแล้ว ควรติดตามประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดเหล่านั้น เช่น ติดตามจำนวนผู้เข้าชมหน้าเว็บ หรือ Conversion Rate เพื่อประเมินว่าคีย์เวิร์ดนั้นให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่
หากต้องการทำ SEO หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO สอบถามรายละเอียดฟรี!! กับ FUNNEL