5 เทคนิคการเขียน Content ให้ดีต่อใจ ใคร ๆ ก็อยากอ่าน
“อย่าเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็น” ส่วนตัวคิดว่าประโยคนี้ความจริงแล้วสามารถแปลได้หลายแง่มุม แต่ในเรื่องการเขียน Content แล้วมันช่างตรงตัวจริง ๆ เพราะ Content ที่ดี มีคุณภาพ อัดแน่นไปด้วยสาระมากมายก็ไม่ต่างจาก “คนเก่ง” คนหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเล่าเรื่อง (Story Telling) ร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นกลายเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็นแน่ ๆ
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงไหม? ถ้าคอนเทนต์ดี ๆ ของคุณจะถูกมองข้าม เพียงเพราะไม่รู้จักเทคนิคการเขียน Content ให้น่าอ่าน ดีต่อใจ จนใคร ๆ ก็หลงรัก ในบทความนี้เราจึงอยากมาแนะนำเทคนิคดี ๆ ถ้าอยากรู้กันแล้วว่าเทคนิคที่ว่าจะคืออะไร อย่ารอช้า เลื่อนอ่านต่อกันเลย
หลักการเขียน Content ให้เตะตา ต้องใจ!
1. รู้จักคนอ่าน
การจะทำให้ใครสักคนมาสนใจการเขียน Content ของเรา ยังไงเราก็ต้องรู้ก่อนว่า “คนอ่านของเราเป็นใครนะ?” เพราะถ้าเราไม่รู้เลยว่าเราจะเขียนให้ใครอ่าน มันจะทำให้เราเขียนแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย และอาจจะไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของเราก็ได้
ดังนั้น จุด Start แรกที่ต้องหันไปมองคือ “คนอ่าน” ของเรา ว่าเขาเป็นใคร มีความสนใจแบบไหน อยากกระซิบว่า…ยิ่งรู้ลึกและเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เท่าไร ก็ยิ่งสามารถป้อนการเขียน Content ให้ตรงใจเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้นแหละ
2. เช็กเรตติ้งก่อน
เมื่อรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร ขั้นตอนต่อไปของการเขียนคอนเทนต์ คือการเช็กว่าหัวข้อที่จะเขียนนั้นคนอื่น ๆ เขายังสนใจกันอยู่หรือเปล่า? เรียกง่าย ๆ ก็คือ “การเช็กเรตติ้ง” นั่นเอง
โดยวิธีการเขียนคอนเทนต์คือเราสามารถเช็กความสนใจใน Keyword นั้น ๆ ผ่านเว็บ Google Trend ได้เลย ด้วยการพิมพ์คีย์เวิร์ดที่อยากเขียน เช่น กลยุทธ์การตลาด เราก็ดูเลยว่าคำนี้มี Search Volume เยอะไหม แนวโน้มขึ้นหรือลง ถ้าเป็นขาขึ้นก็ลุยได้เลย!
3. ก่อร่าง สร้างคอนเทนต์
พอเรารู้แล้วว่าจะเขียนบทความถึงใคร ใช้คีย์เวิร์ดอะไรคนถึงอ่านเยอะ ต่อไปก็ต้องมาสร้าง “โครงร่างบทความ” กันต่อ เพราะการเขียนคอนเทนต์ให้น่าสนใจ ก็ไม่ต่างจากการสร้างบ้านสวย ๆ สักหลังที่ต้องมีทั้งโครงที่แข็งแรงของบ้าน และความสวยงามจากการใช้ภาษา
ตรงนี้แนะนำว่า บทความที่เขียนออนไลน์ อย่างน้อย ๆ ก็ควรมี บทเกริ่นนำ / เนื้อหา / สรุป ซึ่งในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีโครงร่างที่เหมาะสมต่างกันไป เราสามารถกำหนดได้ตามใจชอบเลย
4. ใช้ภาษาพูด คือ Good Idea
จากประสบการณ์ที่เป็น Content Writer มาหลายปี บอกเลยว่าคนเราจะสามารถโฟกัสการอ่าน “ภาษาพูด” ได้มากกว่า “ภาษาเขียน” เพราะมันเป็นหลักการเขียนคอนเทนต์ที่ช่วยทำให้เกิดเสียงในหัวคลอไประหว่างที่อ่านได้
ตัวอย่างเช่น เวลาเราอ่านนิยายหรือการ์ตูนที่เขาใช้ภาษาพูด เราก็มักจะจินตนาการเสียงตัวละครออกมาระหว่างที่อ่าน ทำให้อ่านได้เพลิน ๆ ไม่มีสะดุดใช่ไหม? แต่พอบทความไหนเขียนด้วยภาษาเขียน ร้อยทั้งร้อยก็เริ่มตาปรือแล้ว…
ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้จำเป็นต้องเป็นทางการมากนัก ลองเขียน Content ด้วยภาษาเขียนที่มีความเป็นกันเอง (แต่ยังสุภาพอยู่นะ) ดูสิ รับรองว่าเทคนิคการเขียนคอนเทนต์นี้จะทำให้คนอ่านจะรู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องสนุก ๆ อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีสาระอัดแน่นก็ตาม
5. ใช้เทคนิคเข้าช่วย
ต้องยอมรับว่าถึงแม้เราจะเขียนสนุกแค่ไหน แต่สำหรับการเขียนคอนเทนต์ขายของออนไลน์นั้น ต้องอาศัย “เทคนิค” มาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ อย่างการทำ SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ได้ติดหน้า 1 บน Google
ในการทำ SEO นั้นมีสิ่งที่ต้องทำค่อนข้างเยอะพอสมควร ทั้ง On-Page SEO และ Off-Page SEO แต่สำหรับนักเขียนอย่างเรา ๆ การเข้าใจการทำ On-Page SEO ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากแล้ว เช่น การใช้ Internal Link (ลิงก์ที่อยู่ในบทความ โยงไปบทความอื่นในเว็บของเรา)
[อยากเป็นเซียน On-Page SEO ลองอ่าน: คู่มือทำ On-page ด้วยตัวเอง ดูนะ]
สำหรับใครที่รู้สึกว่าอยากลองเขียน Content แล้ว แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียน Content รูปแบบไหนดี เรามีไอเดียเขียนคอนเทนต์มาฝากด้วยนะ
8 ไอเดียทำคอนเทนต์แบบไหนรุ่ง ไม่มีร่วง
1. Blog
(อ้างอิงจากเว็บไซน์ https://imsynthiachan.files.wordpress.com)
การเขียนบล็อกนั้นเป็นการเขียนการเขียนคอนเทนต์ ให้น่าสนใจ อาศัยเนื้อหาให้ตรงกับกลุ่มผู้อ่าน ดูผิวเผินอาจดูไม่น่าสนใจเท่าการทำคอนเทนต์แบบอื่น แต่สำหรับคนทำเว็บ คอนเทนต์ในรูปแบบ Blog ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก เราลองมาดูข้อดีของการทำ Blog กัน
ข้อดี
- ติด SEO ได้ง่าย
- ลูกค้าเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย และเข้าถึงคอนเทนต์ได้ง่าย
- นำคนเข้ามาสู่เว็บไซน์ของเราได้ง่ายขึ้นด้วยหัวข้อที่น่าสนใจ
- เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B สามารถหาลูกค้ากลุ่ม LEAD ได้เพิ่มขึ้นถึง 67% จากการใช้Blog
- เว็บไซน์ที่มีบล็อก Index pages จะเพิ่มขึ้นถึง 434% (ถือว่าเยอะมาก)
- เว็บไซน์ที่มีบล็อก Index links จะเพิ่มขึ้น 97%
Case study
บ้านและสวน baanlaesuan.com
บ้านและสวน ( baanlaesuan.com) ถือเป็นการเขียนคอนเทนต์ ตัวอย่างที่เน้นในส่วนของ Blog หรือ บทความ แม้จะไม่ได้ขายสินค้าแต่ด้วยคอนเทนต์ที่เป็น Blog จึงทำให้เว็บไซน์ติด Keyword อันดับ 1 ในหลาย ๆ คำ สังเกตว่าเป็นคำที่มีการค้นหาที่มากในทุกคำ และมีจำนวนคนที่เข้าเว็บไซน์มากถึง 206,434 ครั้งในเดือนมิถุนายน 2562
Traffic ของเว็บไซน์ Baanlaesuan.com
ข้อมูล keyword ของบ้านและสวน
** SEO keyword = คำที่ใช้ในการค้นหาใน Google
Volume = จำนวนครั้งที่ถูกค้นหาต่อหนึ่งเดือน เช่นคำว่าปลูกผัก มีการค้นหาถึง 40,500 ครั้งต่อหนึ่งเดือน
Position = อันดับของเว็บไซน์ใน Google เมื่อมีการค้นหาในแต่ละ Keyword
EST. Visits = การประมาณจำนวนคนที่เข้าเว็บไซน์จาก Keyword นั้น
ดังนั้นหากอยากให้ธุรกิจหรือเว็บไซน์เป็นที่ต้องการของตลาดในด้านใดก็ตาม แม้จะใช้คอนเทนต์ในรูปแบบ Blog อย่างเดียวก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจของเราได้
2. Video
วิดีโอถือเป็นการทำคอนเทนต์ดึงดูดลูกค้าที่ขาดไม่ได้และทรงพลังมากในยุคนี้ เราลองมาดูข้อดีของวิดีโอกัน
- 2 ใน 3 ของคนทั้งโลกที่เสพคอนเทนต์ เสพวิดีโอเป็นหลัก
- การใช้วิดีโอจะช่วยเพิ่ม Organic Traffic ถึง 157%
- การใช้วิดีโอจะช่วยเพิ่มระยะเวลาให้ลูกค้าอยู่ในเว็บไซน์มากขึ้น 105%
- การตั้งชื่อวิดีโออย่างถูกต้องช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างจริงจัง
เมื่อกลุ่มลูกค้ามีหลากหลาย เราจึงต้องแบ่งการทำวิดีโอเพื่อให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย เช่น
วิดีโอแบบ Short and Attention Informational Video เป็นวิดีโอที่สั้น กระชับ เน้นให้ข้อมูลเป็นหลักและความประทับใจแรก เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็น Awareness Stages หรือก็คือกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่รู้จักเรา สร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าใหม่
3. Infographics
คอนเทนต์ที่เน้นการให้ข้อมูลกับผู้อ่าน จะช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของข้อมูล ซึ่งผู้เขียนต้องใช้การสรุปข้อมูลและย่อยออกมาเพื่อให้สามารถเขียนเป็น Infographics ได้ และยังสามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้ชัดเจน ง่ายต่อการอ่านอีกด้วย
Case Study
ปัจจุบันเราจะเห็นหลายบล็อกประสบความสำเร็จจากให้ข้อมูลในแบบอินโฟกราฟิกเช่น ลงทุนแมน ที่ให้ข้อมูลงบการตลาดแก่นักลงทุน และ The dialogueจาก Thammasat Business School คอนเทนต์ดี ๆ นำเสนอในรูปแบบอินโฟกราฟิก
Infographics ลงทุนแมน
Infographics The dialogue
4. Case study
เป็นตัวอย่างการเขียนคอนเทนต์สินค้าที่ปิดการขายทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคยใช่ไหมครับเวลาเราจะเลือกซื้อของอะไรก็มักจะดูในคอมเมนต์ หรือไม่ก็ไปดูใน Pantip.com ว่าคนชอบใช้สินค้ายี่ห้ออะไร ข้อดีของคอนเทนต์ประเภทนี้คือ
- ภาพลักษณ์ที่สามารถจับต้องได้ มีการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ลูกค้ารู้จักเราได้มากขึ้น
- เหมาะสำหรับคนไทยมาก เพราะชื่นชอบการเห็นลูกค้าตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อ
- เคสตัวอย่าง จะช่วยให้เราปิดการขายทางอ้อมได้ง่ายขึ้น
- สร้างความแข็งแรงให้กับแบรนด์ และเราสามารถทำให้ลูกค้าซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ของเราได้
5. Ebooks
เหมาะกับประเภทของคนที่ชอบอ่าน ตัวอย่างคอนเทนต์ปัง ๆ จะต้องมีเนื้อหาที่โดน ๆ เช่น เนื้อหาแนวเทคนิค How to เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านโหลดอีบุ๊กของเรา หรือเราสามารถกระตุ้นได้ด้วยการเพิ่มการจำกัดอีบุ๊ก วางระยะเวลาจำกัด ก็สามารถกระตุ้นให้มีการดาวน์โหลดได้เหมือนกัน
- เป็นที่นิยมสำหรับต่างประเทศ
- ในประเทศไทยสามารถทำได้กับธุรกิจที่ต้องให้ข้อมูลเฉพาะทาง หรือเทคนิคต่างๆ
- เราสามารถทำ LEAD กับกลุ่มคนที่ดาวน์โหลดอีบุ๊กได้
6. White papers
หรือก็คืองานวิจัย เหมาะสำหรับแนวการให้ข้อมูลที่จริงจัง เช่น ธุรกิจประเภท B2B ที่เป็นข้อมูลเฉพาะทาง งานวิจัย เอกสารเชิงลึก การทำข้อมูลเชิงวิจัยจะช่วยทำให้แบรนด์ของเรามีภาพลักษณ์ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจมากขึ้น
7. Checklists
คอนเทนต์ประเภทเช็กลิสต์ถือเป็นคอนเทนต์ที่ดีมากๆ ข้อดีคือ
- สรุปข้อมูล ทำให้ลูกค้าตัดสินใจที่จะซื้อของเราได้ง่าย
- คนยุคใหม่ต้องการเวลา และการจัดระเบียบทางสมองให้ดีขึ้น
ตัวอย่างการใช้เช็กลิสต์เช่น หากเราเป็นคนขายกล้อง เราสามารถทำเช็กลิสต์ตรวจสอบกล้องก่อนซื้อเพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจที่จะซื้อได้ง่ายขึ้น
8. Interviews
คอนเทนต์ประเภทการสัมภาษณ์จะช่วยให้ลูกค้าเห็นมุมมองในด้านต่างๆของแบรนด์เราได้ดีขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 การสัมภาษณ์ ได้แก่
- สัมภาษณ์ ลูกค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าที่ได้เห็นฟีดแบ็คสินค้าของเราตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
- สัมภาษณ์ Influencer จะช่วยทำให้แบรนด์ของเราดูเป็นผู้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น
- สัมภาษณ์ พนักงาน เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทของเรา และสร้างความไว้วางใจได้อีกด้วย
- สัมภาษณ์ Prospect จะทำให้เห็นเทรนด์ของความชื่นชอบในตัวสินค้าเรามากขึ้น
ทั้ง 8 รูปแบบเป็นไอเดียสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจของเราได้ หมั่นปรับคอนเทนต์ให้หลากหลายมากขึ้น แล้วคุณจะได้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการอย่างแน่นอน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
การเขียนคอนเทนต์ เพื่อสนับสนุนการปิดขายสินค้า ทำยังไง
– การสร้างความตื่นเต้น: ใช้ข้อความและรูปภาพที่สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
– การติดตามและวัดผล: ติดตามการปิดขายและวิเคราะห์ผลเพื่อปรับปรุงความเป็นไปได้ในอนาคต
การเขียนคอนเทนต์ให้ปัง ทำยังไง
– ใช้ภาพและวิดีโอ: ใส่ภาพและวิดีโอที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นความสนใจ
– ใช้ภาษาที่น่าสนใจ: ใช้ภาษาที่ทำให้คอนเทนต์ของคุณมีอารมณ์และเพลิดเพลิน
– สร้างการปิดท้ายที่น่าจดจำ: สร้างส่วนสิ้นสุดที่สร้างความประทับใจและสร้างความตื่นเต้นให้ผู้อ่าน