CPC คืออะไร? วิธีการทำงาน และค่าใช้จ่ายโฆษณาต้นทุนต่อคลิก ทำไมมองข้ามไม่ได้
CPC คือ “ต้นทุนต่อคลิก” เป็นรูปแบบการจ่ายเงินในการทำโฆษณาออนไลน์แบบหนึ่งที่หมายความว่า ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินต่อเมื่อ Ads นั้นถูกคลิกเท่านั้น หากไม่มีการเข้าถึงของผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
CPC เป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดดิจิทัลต้องทำความเข้าใจ เนื่องจากเป็นเมตริกที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักความสำคัญของ CPC ว่ามีอะไรบ้างกันนะ?
ค่า CPC คืออะไร?
CPC ย่อมาจาก Cost Per Click หรือต้นทุนต่อคลิก เป็นรูปแบบการชำระเงินสำหรับการโฆษณาออนไลน์ Google Ads แบบจ่ายต่อคลิก
ตัวอย่างเช่น หากผู้ลงโฆษณาตั้งค่า CPC ไว้ที่ 10 บาทต่อคลิก และโฆษณาได้รับการคลิก 10 ครั้ง ผู้ลงโฆษณาจะต้องจ่าย 100 บาทสำหรับแคมเปญนั้น
CPC ที่ปรับปรุงแล้ว (ECPC) คืออะไร?
ECPC ย่อมาจาก Enhanced Cost Per Click หรือ “ต้นทุนต่อคลิกที่ปรับปรุงแล้ว” เป็นรูปแบบการชำระเงินแบบ CPC คือ การโฆษณาออนไลน์แบบจ่ายต่อคลิก ที่ช่วย “ปรับงบประมาณให้คุ้มค่ามากขึ้น”
โดยจะปรับราคา Ads สูงขึ้นหากเจอกับผู้ใช้งานที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิด อัตรา Conversion สูง และปรับราคา Ads ลงเมื่อเจอลูกค้าที่มีแนวโน้มก่อ Conversion ต่ำกว่า รวมถึงเมื่อเจอคู่แข่งทางการค้าที่จ่ายค่าโฆษณาด้วยงบสูงกว่าด้วย
ค่า CPC เฉลี่ย คืออะไร?
ค่าเฉลี่ย CPC คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ลงโฆษณาต้องจ่ายโดยเฉลี่ยสำหรับหนึ่งคลิก อย่างไรก็ตาม ค่า CPC เฉลี่ยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละ Main Keyword
ตัวอย่างเช่น
ค่า CPC เฉลี่ยสำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและกฎหมายมักจะสูงกว่าค่า CPC เฉลี่ยสำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เป็นต้น
ความสำคัญของ Google CPC คืออะไรบ้าง?
CPC ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุม “งบประมาณ” ในการทำโฆษณาออนไลน์ได้อย่างแน่ชัด ซึ่งยิ่ง CPC สูงก็หมายถึงว่าธุรกิจต้องเสียเงินปริมาณมากไปกับการทำ Ads ซึ่งส่งผลให้ได้กำไรน้อยลงตามไปด้วย
ดังนั้นธุรกิจจึงควรใช้ CPC ในการช่วยคำนวณและควบคุมค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่ากับกำไรและผลลัพธ์ที่ได้มากที่สุด
ข้อดี-ข้อเสียของ CPC มีอะไรบ้าง?
ข้อดีของ CPC คือ
- เป็นตัววัดประสิทธิภาพแคมเปญ: CPC เป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาว่าสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้มากน้อยเท่าใด
- ช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย: CPC ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้ โดยสามารถตั้งค่างบประมาณรายวันและ CPC สูงสุดได้
- ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด: CPC ช่วยให้ผู้ลงโฆษณากำหนดเป้าหมายโฆษณาของตนตามความสนใจ พฤติกรรม และข้อมูลประชากรของผู้ใช้ ซึ่งช่วยให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียของ CPC คือ
- อาจทำให้ค่าใช้จ่ายสูง: หากตั้งค่า CPC ไว้สูงเกินไป อาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาสูงตามไปด้วย
- อาจไม่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท: CPC อาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก เช่น ธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด
การจ่ายเงินแบบ Cost Per Click หรือต้นทุนต่อคลิกมีลักษณะอย่างไร?
การจ่ายเงินแบบ CPC หรือต้นทุนต่อคลิก หมายความว่าผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเฉพาะเมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาบนแพลตฟอร์มไหน
ซึ่ง ค่า CPC จริงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคลิก ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การแข่งขัน คุณภาพของโฆษณา และการกำหนดเป้าหมาย
วิธีคำนวณ CPC CPC คิดยังไง?
CPC = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด / จำนวนคลิก
ตัวอย่างเช่น หากแคมเปญโฆษณามีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 100 บาท และได้รับคลิก 10 ครั้ง CPC จะเท่ากับ 10 บาทต่อคลิก
CPC = 100 / 10 = 10
ทำยังไงให้ค่า CPC ไม่แพง (ลดค่า CPC)
การลดค่า CPC คือ วิธีเพิ่มกำไรของธุรกิจ ซึ่งมีเคล็ดลับบางประการที่สามารถช่วยให้สามารถลดค่า CPC ของแคมเปญโฆษณาได้
- เลือก Keyword ให้ดี: Keyword ที่มีการแข่งขันสูงจะมี CPC สูงกว่า Keyword ที่มีการแข่งขันต่ำ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเลือก Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสจะใช้ค้นหาสูงสุด
>> เลือก Keyword ให้ทำคอนเทนต์ไหนก็ปัง ได้ขึ้นหน้าแรกของ Google ตลอดกาล ต้องอ่าน: วิธีเลือก Keyword SEO สำหรับธุรกิจ<<
- สร้างโฆษณาให้น่าสนใจ: การทำโฆษณา Google Ads ที่ดึงดูดความสนใจ โดดเด่นสะดุดตา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกได้
- เลือกเป้าหมายโฆษณาอย่างรอบคอบ: การกำหนดเป้าหมายโฆษณาอย่างรอบคอบจะช่วยให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ดีขึ้น
- ใช้การทดสอบ A/B: การทดสอบ A/B จะช่วยให้สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโฆษณาที่ต่างออกไปได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนราคา CPC คือ ได้เพราะไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยการจ่ายจริง ๆ ก็ได้
นอกจากนี้แล้ว การทำ SEO ก็สามารถช่วยให้เว็บไซต์เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยใช้งบประมาณที่ต่ำแต่ได้ผลลัพธ์ดีเช่นกัน >> ขั้นตอนการเขียนบทความ SEO ให้ได้ Keyword ที่ต้องการ (มีคลิป)<<
CPC ต่างจาก CPM อย่างไร?
CPC CPM คือ หน่วยวัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาออนไลน์ ทั้งสองหน่วยวัดนี้ใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสอง
CPC | CPM | |
การคำนวณ | คิดจากจำนวนเงินที่ใช้ในการโฆษณาทั้งหมด หารด้วยจำนวนคลิก | คิดจากจำนวนเงินที่ใช้ในการโฆษณาทั้งหมด หารด้วยจำนวนการแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง |
จุดประสงค์ | เน้นการวัดผลจากจำนวนคลิก | เน้นการวัดผลจากจำนวนการแสดงผล |
ประเภทโฆษณา | เหมาะกับโฆษณาที่ต้องการกระตุ้นให้เกิด Conversion เช่น การคลิกซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก | เหมาะกับโฆษณาที่ต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก |
ตัวอย่าง | โฆษณาสินค้าบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) | โฆษณาแบรนด์สินค้าบนโซเชียลมีเดีย |
การประมูล CPC ด้วยตัวเอง คืออะไร? (Cost Per Click Bidding)
Manual CPC คือ รูปแบบการประมูลโฆษณาออนไลน์ที่ผู้โฆษณาสามารถกำหนดราคาเสนอสูงสุด (Maximum Bid) ในการประมูลโฆษณาแต่ละครั้งได้เองว่าอยากได้ CPC เท่าไหร่ดี
โดยสามารถเลือกราคาเสนอสูงสุดได้ตามต้องการ แต่หากราคาเสนอสูงสุดที่เสนอไปสูงกว่าราคาเสนอสูงสุดของรายอื่น โฆษณาของผู้โฆษณาก็จะได้รับการแสดงผลและมีโอกาสถูกคลิกมากขึ้น
วิธีกำหนด CPC และ PPC ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การกำหนด CPC และ PPC ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายของแคมเปญโฆษณา งบประมาณที่ใช้ในการโฆษณา ประเภทของโฆษณา และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง รวมไปถึงวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ศึกษาข้อมูลคู่แข่ง
ศึกษาข้อมูล CPC และ PPC ของคู่แข่ง เพื่อกำหนดราคาเสนอสูงสุดที่เหมาะสมกับการแข่งขัน
- ใช้เครื่องมือช่วยในการกำหนดราคาเสนอสูงสุด
มีเครื่องมือช่วยในการกำหนดราคาเสนอสูงสุด เช่น Google Ads Auction Insights หรือ Facebook Ads Bidding Strategies (ควบคุม CPC Facebook) ซึ่งจะช่วยผู้โฆษณาในการกำหนดราคาเสนอสูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทดลองและปรับแต่ง
ทดลองกำหนดราคาเสนอสูงสุดที่แตกต่างกัน และปรับแต่งแคมเปญโฆษณาตามผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการกำหนด CPC และ PPC ให้ได้ประสิทธิภาพดีมากขึ้น
สรุปการใช้งาน CPC
CPC คือ ต้นทุนต่อคลิกเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการตลาดดิจิทัล เป็นการโฆษณาออนไลน์ประเภทหนึ่งที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในแต่ละครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมงบประมาณการโฆษณาได้มากขึ้น และจ่ายเฉพาะการคลิกจริงเท่านั้น