BacklinkvsOutreach เทคนิคการสร้างลิงก์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อขยายเขตการเข้าถึงให้กว้างขึ้นกว่าเดิม
เป็นที่ทราบกันดีว่าการทำ Off-page นั้นเป็นกลยุทธ์ที่บรรดานักทำ SEO นั้นต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการทำ Backlink ที่เป็นคอยช่วยให้ไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันของนักการตลาดที่ทำงานทางด้าน SEO อยู่ไม่น้อยด้วยการเรียกคำต่างๆ รวมถึงคำจำกัดความที่อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละบริษัท แต่ความหมายของ Link Building ที่แท้จริงนั้นคือการใช้กลยุทธ์หลายๆ อย่างรวมกัน รวมถึงการจัด Work Flow ให้มีระเบียบและขั้นตอนที่ชัดเจนด้วย เพื่อให้การทำงานของ Link นั้นๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นด้วย
แต่ก่อนอื่นที่เราจะมาศึกษากันว่ากลยุทธ์ต่างๆ และเทคนิคดังกล่าวคืออะไร เรามาทำความรู้จักกับการทำ Off-page และ Link Outreach กันก่อนว่ามันคืออะไรกันแน่
OFF PAGE SEO คือ
กลยุทธ์การทำ SEO ที่เป็นปัจจัยภายนอก หรือภาษาในวงการคนทำ SEO เขาจะเรียกกันว่า Backlink ซึ่งจะช่วยส่งพลังกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ นับเป็นตัวช่วยในการทำให้อันดับเว็บไซต์อยู่ในลำดับที่ดีขึ้นวิธีหนึ่งที่ขาดไม่ได้ และก็ไม่ได้มีแค่วิธีการทำ Link Building เพียงเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จัดว่าเป็นเทคนิคการทำ Off Page SEO ขอให้ติดตามอ่านบทความนี้จนจบ คุณจะได้เทคนิคดีๆ กลับไปอย่างแน่นอนครับ
ทำไมต้องทำ Off-page SEO
การทำ Off Page SEO เป็นวิธีการสร้างอำนาจ ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และบ่งบอกถึงคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณ แน่นอนว่ามันส่งผลต่ออันดับบน Google และโอกาสที่คนจะเจอเว็บไซต์ของคุณจากการ Search รวมถึงช่องทางอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก Search Engine อีกด้วย
Link Building เทคนิคที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำ SEO Off-page
แน่นอนว่าการทำ Link Building ไม่มีกฎตายตัวว่าต้องทำแบบไหน ไม่ทำแบบไหน ยกตัวอย่างเช่น
- การแชร์บทความที่มีประโยชน์บนโซเชียลมีเดีย
- สร้างลิงก์ที่เสียไปแล้วเช่น การหา Broken Link และติดต่อไปเสนอเขียนบทความให้ฟรีจากนั้นก็ลิงก์กลับมาที่หน้าเว็บไซต์ของเรา
- การทำ Outreach (Email, Influencer, PR, Social Media ฯลฯ)
ซึ่งในลำดับถัดไปเราจะมาศึกษาข้อแตกต่างระหว่างการทำ Backlink และ Outreach คืออะไร และต่างกันยังไงบ้าง
Backlink คืออะไร
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็แปลตรงตัวเลยนั่นคือ “ลิงก์ที่กลับมาหาเรา” นั่นคือลิงก์ใดๆ ก็ตามที่เราได้กลับมาจากการทำลิงก์ใส่ไว้ในบทความที่ถูกนำส่งไปโพสต์บนเว็บไซต์อื่นๆ โดยอาจอาศัยการใช้ Anchor Text หรือ คำที่มีการใส่ลิงก์ให้สามารถคลิกเข้าไปได้
ในการทำสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือหน้าเว็บไซต์กับบทความที่เราทำส่งออกไปนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันหรือเป็นเรื่องเดียวกันได้ยิ่งดี รวมถึงข้อมูลที่ใส่เข้าไปก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยและต้องเป็นข้อมูลที่เราเขียนขึ้นใหม่ อ้างอิงจากที่อื่นได้แต่ห้ามคัดลอกมาโดยเด็ดขาดเพราะจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ซึ่งในกระบวนการจัดลำดับของ SEO เพราะ Google จะมีการตรวจสอบลิงก์ต่างๆ ไปจนถึงบทความทุกๆ ชิ้นที่คุณทำออกไปด้วย Google Bot และมีการให้คะแนนคุณภาพของลิงก์นั้นๆ ด้วย
Outreach คืออะไร
คือหนึ่งในเทคนิคสำหรับการทำ Link Building ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกันแล้วคำว่า Outreach กับ Backlink นั้นความหมายอาจแทบไม่ต่างกันเพราะวิธีการรวมถึงจุดประสงค์คือเรื่องเดียวกัน
แต่รูปแบบหรือกระบวนการอาจต่างกันเล็กน้อย ตรงที่คำว่า “Outreach” บริษัทต่างๆ รวมถึงเอเจนซี่มักใช้เรียกเป็นขั้นตอนการติดต่อเพื่อที่จะส่งออกคอนเทนต์ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ผ่านทางอีเมล คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย การใช้เหล่าคนดังไปจนถึงสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ต่างๆ เพื่อเป็นการเพิ่ม Backlink ให้กับเว็บไซต์ของเรา
ซึ่งอย่างที่เรากล่าวไปว่าจะต้องเป็นบทความที่สร้างขึ้นเองและเนื้อหาก็ต้องมีคุณภาพชวนให้คนอ่านและให้ประโยชน์กับผู้อ่านจริงๆ เพราะหากคุณทำ Backlink บนบทความที่อาจจะมีหัวข้อน่าดึงดูดแต่เข้ามาอ่านแล้วเนื้อหากลับไม่เข้ากันกับหน้าเว็บไซต์ หรือไม่เนื้อหาก็ไม่ชวนอ่านเอาซะเลย Backlink นั้นที่คุณใส่ไปก็จะสูญเปล่าทันที
ปัญหาจากการทำ Link Building ที่มักต้องเจอบ่อยๆ มีอะไรบ้าง?
มีคู่แข่งทางอีเมลล์เป็นจำนวนมาก
เว็บมาสเตอร์และบรรณาธิการของเว็บไซต์ระดับสูง (ผู้สร้างลิงก์) ถูกโจมตีด้วยอีเมลจากนักการตลาดดิจิทัลทุกวัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะโดดเด่น การเข้าถึงที่เย็นชาอาจรู้สึกน่ากลัวและไร้ผลเมื่อมีนักการตลาดรายอื่นๆ จำนวนมากที่ทำแบบเดียวกัน
นักทำ SEO มักมั่นใจใน Backlink จนเกินไป
เพราะแท้จริงแล้ว Backlink เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำหรับการ rank อันดับของไซต์เท่านั้น แต่ไม่ใช้เป้าหมายสูงสุดของลูกค้า ดังนั้น ประเด็นที่สำคัญคือ เจ้าของไซต์หรือนักทำ SEO ต้องคอยปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์อยู่เสมอ เพื่อให้คงรักษาอันดับไว้ได้ในระยะยาวอย่างมั่นคง
ขาดทรัพยากร
การไม่มีเวลาและทรัพยากรอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จในการขยายงาน การเข้าถึงลิงก์แบบแมนนวลนั้นไม่มีประสิทธิภาพ แต่การเข้าถึงอัตโนมัติมากเกินไปนั้นถูกมองว่าเป็นสแปมและอาจไม่ได้ผล
ขั้นตอนการทำ Off Page แบบจับมือทำ
ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะวิธีแบบ Manual คือใช้คนในการทำ ทั้งขั้นตอนการเขียนบทความและลงบทความบน Backlink
ขั้นตอนที่ 1 หา Backlink
“ศตรูของศตรู คือมิตรของเรา” วิธีการนี้คือการดูว่าคู่แข่งของเราใช้ Backlink มาจากที่ใดบ้าง โดยเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆได้ แต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างจากเครื่องมือ Ahrefs
โดยให้หาเว็บไซต์ที่มีค่า DR และ Traffic ที่สูงจึงจะดีกับ Backlink ที่เราต้องการ และลองเช็คดูว่าคู่แข่งทำอย่างไรที่จะนำบทความไปใส่ได้ ถ้าเจอ Guest post ก็โชคดีเพราะเราสามารถให้นักเขียนของเรานำไปวางได้ ส่วนบางอันอาจจะต้องจ่ายเงิน ซึ่งก็อาจจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย แต่สุดท้ายก็ต้องวัดผลลัพธ์นะครับ
ขั้นตอนที่ 2 จัดทำบทความ และลงบทความ
สร้างบทควาามขึ้นมา โดยต้องไม่ลืมว่าการทำบทความต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่เราจะส่งให้ และต้องสร้าง Achor text ที่สอดคล้องกับบทความที่เราจะโยง
จากนั้นจึงลงบทความในเว็บไซต์ที่เราวางแผนไว้
เวิร์กโฟลว์ที่ทำให้การทำ Outreach Link Building มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 1: การสร้างเนื้อหาและการเผยแพร่แบบ Outreach
ในทางเทคนิค ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นนอกกระบวนการเผยแพร่ลิงก์ เนื่องจากการสร้างเนื้อหามักเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ SEO บนหน้าเว็บที่ดี อย่างไรก็ตาม เนื้อหาบางประเภททำงานได้ดีกว่าเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ หากไซต์ของลูกค้าของคุณไม่มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ที่แข็งแกร่งซึ่งจะดึงดูดลิงก์ย้อนกลับที่เหมาะสมและช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 2: สำรวจ
การสำรวจหรือการสร้างรายชื่อมักจะเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากที่สุด นี่คือที่ที่คุณระบุเว็บไซต์ที่คุณจะเข้าถึงลิงก์ย้อนกลับ จำนวนเว็บไซต์ที่คุณจะเพิ่มลงในรายการนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่จำไว้ว่าการคัดเลือกเครือข่ายแบบกว้างไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดเสมอไป
เมื่อวิเคราะห์โอกาสในการลิงก์ย้อนกลับ ให้พิจารณา:
- ความเกี่ยวข้องของโดเมนและหน้ากับไซต์และเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ของคุณ
- ผู้ชมของเพจตรงกับผู้ชมของเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้หรือไม่
- คะแนนของโดเมน (AS)
- อำนาจหน้าที่ของเพจ
- จำนวนลิงก์ภายนอกที่มีอยู่แล้วบนหน้านั้น
- ไม่ว่าลิงก์ภายนอกที่มีอยู่จะเป็นลิงก์สปอนเซอร์/ไม่ติดตาม หรือที่จริงแล้ว ผ่านส่วนทุน
- การเข้าชมรายเดือนเฉลี่ยของโดเมนและเพจ
- การจัดอันดับคำหลักของโดเมนและหน้า
- ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดมูลค่าของลิงก์ย้อนกลับที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในการรักษาความปลอดภัย
ขั้นตอนที่ 3: รวบรวมข้อมูลประจำตัวผู้ติดต่อ
ขั้นตอนต่อไปของคุณคือการระบุจุดติดต่อที่แข็งแกร่งที่สุด โดยจำกัดรายชื่ออีเมลของคุณให้แคบลงสำหรับบุคคลจากแต่ละองค์กรหรือไซต์ที่มีอำนาจในการวางลิงก์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 4: การขยายงาน
ก่อนที่คุณจะทำ คุณจะต้องสร้างเทมเพลตอีเมลของคุณอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความของคุณได้รับการปรับแต่งอย่างเหมาะสมเพื่อดึงดูดสายตาและความไว้วางใจของผู้ติดต่อแต่ละรายที่คุณส่งอีเมล์
ขั้นตอนที่ 5: การติดตาม
คุณสามารถติดตามความสำเร็จได้ทั้งในระดับแคมเปญและระดับโครงการ และสร้างรายงานที่กำหนดเองสำหรับลูกค้าของคุณ ข้อมูลนี้ยังสามารถใช้เพื่อระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์ของคุณ ทำให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกสำหรับการปรับแต่งในอนาคต
เนื่องจากเสียงเซอร์ราวด์จะตรวจสอบการกล่าวถึงและลิงก์ของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง คุณจึงมีข้อมูลเพื่อติดตามความคืบหน้าและป้อนแคมเปญการสร้างลิงก์ครั้งต่อไปของคุณนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในการทำ SEO บนเว็บไซต์นั้น ไม่ว่าเราจะใช้กลยุทธ์ วิธีการใด ๆ ก็อาศัยเนื้อหา ข้อมูลที่ถูกต้อง และมีการอัปเดต อยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลยุทธ์เหล่านั้น อาจไม่ได้เป็นส่วนช่วยในการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จทั้งหมด ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เจ้าของไซต์หรือนักทำ SEO ควรดำเนินการทั้ง 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน ซึ่ง นอกจาก Backlink แล้ว ผู้อ่านก็อาจเห็นแล้วว่า Link Building เป็นวิธีที่น่าสนใจทีเดียว