เปิดตำรากลยุทธ์การทำ SEO สำหรับธุรกิจที่จะทำให้คุณเป็นมือโปร Pt.1

ถ้าหากคุณเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจที่อยากทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณา การทำ SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง ที่หลายคนอาจจะคิดว่าการทำ SEO เป็นวิธีที่ยุ่งยาก และใช้เวลากว่าจะเห็นผลลัพธ์ แต่ต้องบอกก่อนว่าการทำการตลาดด้วย SEO นั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นปนะโยชน์มากกว่าที่คุณคิด ถ้า!!! เราทำมันอย่างถูกวิธี

  • กลยุทธ์ SEO สำคัญอย่างไร?
  • กลยุทธ์ SEO มีอะไรบ้าง?

ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็เพราะ หลาย ๆ ธุรกิจกำลังประสบปัญหาหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการทำ SEO ที่ไม่ว่าจะเป็น… 

  • ทำ SEO แล้วไม่ได้ผล 
  • ไม่รู้ว่ากลยุทธ์ในการทำ SEO ที่แท้จริงคืออะไร
  • ไม่รู้ว่าแผน SEO ที่มีอยู่ดีแล้วหรือยัง
  • แผนการทำ SEO เหมาะกับแผนธุรกิจของแบรนด์หรือขององค์กรมากน้อยแค่ไหน

ซึ่งปัญหาที่ได้พูดมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะทำการแก้ไข ซึ่งก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงหลักการทำงานของกลยุทธ์ที่ทำงานร่วมกันระหว่างแผนธุรกิจและแผน SEO ซะก่อน หลังจากนั้นเราถึงจะค่อย ๆ นำองค์ประกอบต่าง ๆ ดังกล่าวมาปรับจูนการทำงานร่วมกันให้ได้รวดเร็วปละมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องการคือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเฟรมเวิร์คที่ชื่อว่า SEO Strategy Stack นั่นเอง

ในตำรากลยุทธ์ SEO Strategy Stack เล่มนี้ Funnel จะพาทุก ๆ คนมาทำความเข้าใจปัญหาและปลดล็อคไปทีละขั้นตอน โดยหลัก ๆ เราจะแบ่งออกเป็น 5 หัวข้อด้วยกัน คือ

1.ปัญหาเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEO

2.SEO Strategy Stack คืออะไร?

3.ส่วนประกอบของกลยุทธ์ SEO Strategy Stack 

4.ทำไม SEO Strategy Stack ถึงมีประโยชน์กับการทำธุรกิจ

5.กลยุทธ์ดี vs กลยุทธ์ไม่ดี vs กลยุทธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน

และเนื่องจากแต่ละหัวข้อมีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น Funnel จึงขอแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 Part ด้วยกัน โดยใน Part แรกนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับเนื้อหาใน 3 ประเด็นแรกกันก่อน มาดูไปพร้อม ๆ กัน

ไฮไลท์ Part 1

1.ปัญหาเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEO

2.SEO Strategy Stack คืออะไร?

3.ส่วนประกอบของกลยุทธ์ SEO Strategy Stack 

1.ปัญหาเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEO

ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การทำ SEO ของธุรกิจต่าง ๆ นั้นจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยคุณภาพของเว็บไซต์เป็นหลัก

แต่สำหรับโลกธุรกิจ นี่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ SEO เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับข้อมูลธุรกิจและลูกค้าเข้าด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจอีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาก็ถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์ของทั้งบริษัทเลยก็ว่าได้

Tom Critchlow จาก SEOMBA ได้เคยกล่าวไว้ว่า…

“แน่นอน ว่ากลยุทธ์ของการทำ SEO มีความสำคัญ แต่การวางกลยุทธ์ร่วมกันระหว่างนั้นได้ผลมากกว่าการมานั่งตรวจสอบแนวทางการดำเนินงานจากทาง SEO เพียงอย่างเดียว ซึ่งหลาย ๆ ธุรกิจอาจจะยังมีโมเดลด้านการตลาด / ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ชัดเจนพอจนไม่สามารถนำมาต่อยอดได้ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้กลยุทธ์ SEO ไม่วางแผนได้อย่างชัดเจนจนดำเนินงานผิดทางและถูกทางบริษัทลดความสำคัญลงในที่สุดเพราะคิดว่า SEO ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะขับเคลื่อนงานให้กับองค์กรได้”

และนอกจากนี้ ทอม ยังเน้นย้ำอีกว่า

“แก่นแท้ของการสร้างกลยุทธ์ประกอบด้วยสามองค์ประกอบด้วยกัน คือ  การวิเคราะห์, แผนการดำเนินงานชี้นำ และการดำเนินการที่สอดคล้องกัน”

สิ่งที่น่าสนใจคือแกนกลางของกลยุทธ์ SEO นั้นมักจะคล้าย ๆ กับแนวทางที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์จะต้องทำการวิเคราะห์ถึงปัญหาที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ รวมไปถึงสร้างแผนลำดับความสำคัญและแผนงานเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจด้วย ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่าในระยะสั้น ๆ ช่วงแรกเริ่มในการปรับกลยุทธ์ SEO นั้นจะมีแนวทางเดียวกันกับการทำงานของฝ่ายผลิตภัณฑ์ด้วยนั่นเอง

ยังไงก็ตาม หาก SEO จำเป็นต้องใช้โมเดลของกลยุทธ์และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหา ดังนั้น การพูดถึงพูดถึงปัญหาที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ต้องเผชิญจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาเมื่อต้องเริ่มนำปัญหาและแนวทางการทำงานของแต่ละทีมมา Disscuss กันสิ่งที่ตามมาคือความสับสนและรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงต่าง ๆ ที่พันกันอยู่ เพราะหลายทีมก็มีหลายร้อยปัญหา

แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจรู้สึกได้ว่าการปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น หากขาดข้อมูลจากฝ่ายอื่น ๆ ที่สำคัญก็อาจทำให้การที่จะมุ่งเน้นและเชื่อมโยงกลยุทธ์กับฝ่ายต่าง ๆ ให้เข้าหากันนั้นกว้างขึ้นไปอีก 

การขาดข้อมูลจากการวิเคราะห์ตั้งแต่กลยุทธ์ทางธุรกิจทำให้การจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์ SEO แปรปรวนและไม่มีประสิทธิภาพ

เพราะจากที่ได้บอกไปว่าการวางแผนดำเนินงานของ SEO นั้นจะมีคุณภาพได้มากพอก็ต่อเมื่อมีข้อมูลจากทางธุรกิจที่ชัดเจนมากพอเท่านั้น จะเห็นได้จากภาพด้านบนว่า Strategy ที่ครอบคลุมทั้งหมดของการทำ SEO คือ Business Strategy นั่นหมายถึงว่าการมีกลยุทธ์หรือข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานขาย, งายฝ่ายการตลาด หรือการผลิตก็แล้วแต่ ย่อมส่งผลต่อ SEO ทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าเมื่อบริษัทไม่มีกลยุทธ์หรือเป้าหมายที่อยากจะมุ่งเน้นอย่างชัดเจน การจัดลำดับความสำคัญอาจเป็นเรื่องยาก ส่งผลถึงการดำเนินงานที่สะเปะสะปะ และการสื่อสารกับทีมอื่น ๆ ก็ยากเช่นกัน

เมื่อนำมาวางเป็นภาพให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ทุก ๆ คนจะเห็นได้จากภาพด้านบนว่า การขาดโฟกัสต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจนั้นทำให้ทีมอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าใจ Point ในสิ่งที่บริษัทต้องการได้อย่างแม่นยำจริง ๆ  เพราะแต่ละฝ่ายก็จะมีหน้าที่และการดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป 

นอกจากนี้ยังทำให้ทีม SEO ดูเหมือนขาดการเชื่อมต่อจากเป้าหมายและกลยุทธ์ของบริษัทมากกว่าทีมอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ประเด็นของความชัดเจนของ Business Strategy จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่ควรละเลยเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็น Roadmap ที่ทุก ๆ ทีมในองค์กรยึดถือเป็นหลักนั่นเอง หากไม่ชัดเจนก็จะทำให้ไม่ชัดเจนกันทั้งหมด และแย่กว่านั้นคือการทำงานของทีม SEO จะไม่สามารถมีประสิทธิภาพได้เลย

สิ่งที่ยากที่สุดในการกำหนดแผนดำเนินงาน SEO คือการมานั่งวิเคราะห์ว่าปัญหาที่ทำให้กลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทนั้นคืออะไรกันแน่ ซึ่งหากวิเคราะห์พลาด สิ่งที่ตามมาคือผลลัพธ์ของการทำ SEO ก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง จะสื่อสารออกมาไม่ดี และตีกลุ่มเป้าหมายไม่ได้คุณภาพตามที่หวังด้วย

ซึ่งหากมองให้เป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนกว่านี้ ก็คือ หากเราติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก ทุก ๆ คนคงเห็นภาพแล้วว่ากระดุมเม็ดถัด ๆ มาจะถูกติดแบบใด  ตามที่ได้บอกมาทั้งหมด คำตอบก็คือ ปัญหาของ SEO ก็คือกลยุทธ์ทางธุรกิจยังไม่ชัดเจน ดังนั้น จงหาและ Clealify กันภายในให้ชัดเจนก่อนจะดีที่สุด

2.SEO Strategy Stack คืออะไร?

SEO Strategy Stack เป็นกลยุทธ์ของการทำ SEO ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กที่จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ขององค์กรสามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาและวางแผนดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากปัญหาที่ว่ากลยุทธ์ของ SEO เป็นระบบงานที่ไม่มีแบบแผนและโครงสร้าง SEO Strategy Stack  เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักทำ SEO ของบริษัทสามารถมองเห็นภาพการทำงานได้อย่างชัดเจนและเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น ทั้งนี้ยังสามารถเห็นจุดที่เชื่อมต่อกันของการทำงานแต่ละขั้นตอนได้อีกด้วย

แต่ข้อเสียของการทำงานโดยวางขั้นตอนเป็นลำดับแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน ถึงจะทำให้งานมีความเป็นระบบ แต่ถ้าหากในแต่ละเลเยอร์ที่เห็นขาดปัจจัยใดไปก็สามารถทำให้รวนได้เลยทีเดียว ซึ่งข้อเสียที่กล่าวมาก็สามารถส่งผลต่อภาพการทำงานโดยรวมได้เลยทีเดียว

3.ส่วนประกอบของกลยุทธ์ SEO Strategy Stack 

สำหรับส่วนประกอบของ SEO Strategy Stack นั้นจะแบ่งออกเป็น 7 องค์ประกอบหลัก ๆ ด้วยกัน ซึ่งทั้ง

7 องค์ประกอบเหล่านี้สามารถจัดกลุ่มงานออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • การวิเคราะห์และระบุปัญหา

เป็นขั้นตอนที่ ทีม SEO ต้องมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจธุรกิจ ปัญหาสำคัญ และโอกาสที่ถูกต้องที่เป็นไปได้ในการเอาชนะปัญหาเพื่อผลักดันผลลัพธ์สำหรับทั้งผู้ใช้และธุรกิจ

  • สร้างกลยุทธ์

 ทีม SEO เริ่มจัดลำดับความสำคัญของโอกาส กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ และสร้างแผนการเพื่อเอาชนะปัญหาเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายทางธุรกิจ เป็นกลยุทธ์ SEO ที่นำเสนอต่อทีมอื่น ๆ ในองค์กร

  • เริ่มดำเนินงาน

ทีม SEO สร้างลำดับโอกาสและทำงานร่วมกับทีมเพื่อใช้กลยุทธ์

การวิเคราะห์และระบุปัญหาที่ดีจะสร้างกลยุทธ์ที่ดีได้” ซึ่งทุกคนจะเห็นได้ว่า ใน SEO Strategy Stack ขั้นตอนการวิเคราะห์และระบุปัญหาเป็นส่วนแรกของการสร้าง SEO Strategy Stack ที่ชัดเจนมากขึ้น

7 องค์ประกอบของ SEO Strategy Stack ที่นักทำ SEO ควรทำความเข้าใจ

1.Business Strategy

การริเริ่มเชิงกลยุทธ์หรือแผนการจัดลำดับความสำคัญที่ธุรกิจมุ่งเน้นเพื่อผลักดันมูลค่าให้กับธุรกิจ เป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่สำคัญของ SEO Strategy Stack เพราะจากที่บอกไปว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจ หรือ Business Strategy คือส่วนที่ห่อหุ้มส่วนอื่น ๆ ทั้งหมด

2.The Problem

ความท้าทายสำคัญที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งทีม SEO จะต้องใช้ความพยายามที่จะบรรลุเป้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้แม้จะต้องพบเจอกับความยุ่งยากก็ตาม

3.SEO Strategy

แนวทางและการดำเนินดำเนินงานที่สอดคล้องกันโดยใช้เทคนิคการจัดลำดับความสำคัญ (ความคิดริเริ่มและโอกาส) ซึ่งจะช่วยเอาชนะความท้าทายที่สำคัญของธุรกิจได้

4.SEO Goals

สร้างเป้าหมายที่ชัดเจนที่จะสามารถช่วยวัดความสำเร็จของกลยุทธ์ SEO รวมถึงช่วยบ่งชี้ KPI ของ Performance และความท้าทายในการดำเนินงานดังนี้

5.SEO Prioritization

การจัดลำดับความสำคัญเป็นอีกส่วนที่สำคัญที่จะสามารถช่วยให้นักทำ SEO มองเห็นภาพการทำงานได้เป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น ทั้งนี้ ยังทำให้รู้ว่างานส่วนไหนที่ควรมาก่อนและหลังเพื่อป้องกันการไปโฟกัสผิดจุดและทำงานอย่างสับสน

6.SEO Roadmap 

แผนการจัดลำดับความสำคัญที่สรุปวิธีการใช้กลยุทธ์ โดยปกติจะเป็นช่วง 6-12 เดือนในการดู Feedback ของการทำ SEO ที่จะเห็นผลอย่างชัดเจนมากที่สุด

7.SEO Backlog 

การจัดลำดับความสำคัญของรายการงานต่าง ๆ ให้กับสมาชิกในทีมได้ทราบโดยทั่วกันเพื่อให้สรุปได้ว่าแผนงานจะดำเนินการอย่างไรในแต่ละช่วง (ซึ่งทางทีม SEO อาจแบ่งระยะการทำงานเพื่อทำการสรุปงานกันเองตามดุลยพินิจหรือพิจารณาตามที่เห็นสมควร)

ส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันและช่วยให้ SEO จัดลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ ในแต่ละขั้นตอนยังสามารถช่วยให้นักทำ SEO แน่ใจได้ว่ากลยุทธ์ที่วางมานั้นมีส่วนที่เชื่อมโยงส่วนการดำเนินงานกับกลยุทธ์อื่น ๆ ของบริษัทได้มากขึ้นอย่างชัดเจน

ยังไงก็ตาม นี่เป็นเพียง 3 ส่วนแรกของตำราเล่มนี้เท่านั้น หากใครอยากสำเร็จการศึกษาจากการทำความเข้าใจ SEO Strategy Stack อย่างสมบูรณ์ อย่าลืมติดตามต่อใน Part ต่อไป

Similar Posts