4 Steps ทำ SEO ด้วยตัวเองให้ติดหน้าแรก Google พร้อมทริคที่ควรรู้
คู่มือการทำSEO ด้วยตัวเอง โดยปกติการทำSEO นั้นใช้เวลาเริ่มต้น 3-6 เดือนในการเห็นผลลัพธ์ (บางคีย์เวิร์ดก็มากกว่า) ดังนั้นถ้าทำผิดตั้งแต่แรกค่อนข้างจะเสียเวลาเลยทีเดียว คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นอย่างถูกต้องให้คุณได้รู้ว่าเรื่องไหนบ้างที่สำคัญต่อ SEO และวิธีการเริ่มต้นควรเริ่มจากอะไร
ในการทำSEOต้องเริ่มจากการวางโครงสร้างอย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีการบางส่วนยกมาจากหลักสูตร เวิร์คช็อป Blueprint SEO ในช่วงแรกของการทำ SEO
STEP 1 เช็ค Keyword ก่อนทำ SEO
ต้องเริ่มต้นจากอะไรถ้าเราต้องการคนเข้าเว็บไซต์เยอะ ๆ?
นั่นคือการเริ่มเช็คคีย์เวิร์ด (SEO Keyword) ก่อนว่ามีคีย์เวิร์ดอะไรที่น่าสนใจบ้าง โดยสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จากคีย์เวิร์ดนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “Search Volume”
Search Volume คือ การรู้จำนวนปริมาณการค้นหาใน 1 เดือน เช่น คำว่า “Keyword” มีการค้นหาเฉลี่ยที่ 3,600 ครั้งต่อเดือน (ในประเทศไทย) ดังรูป
การรู้ Search Volume จะช่วยให้เรารู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนสำคัญ เพราะมีหลายครั้งที่ผมเคยเจอบางคนที่ต้องการทำSEO หรือ ยิง Google Ads ไม่รู้จำนวนของการค้นหาในคีย์เวิร์ดนั้น ทำให้สูญเสียจำนวนการค้นหาไป ยกตัวอย่างคำว่า “คีย์เวิร์ด” กับ “keyword” แม้ว่าจะเป็นคำเดียวกัน แต่มีการค้นหาที่ต่างกันอยู่
ดังนั้นก่อนที่เราจะทำ Google Ads หรือทำSEO จะต้องเก็บลิสคีย์เวิร์ดไว้ก่อนทุกครั้งเพื่อจะได้นำคีย์เวิร์ดที่สำคัญจริง ๆ มาใช้งานในการทำ SEO เอง เพื่อเรียกคนเข้าเว็บไซต์ให้กับเรา
วิธีเช็ค Keyword ด้วย Keyword Surfer
วิธีแรกเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด นั่นคือการติดตั้งส่วนเสริมของ Chrome ที่เรียกว่า Keyword surfer
เมื่อคลิกแล้วจะเห็นหน้าต่างส่วนเสริม ให้กด เพิ่มใน Chrome
ในส่วนของวิธีการใช้งาน เมื่อเราค้นหาบน Google เครื่องมือนี้จะแสดงข้อมูลของ Search Volume ให้กับเราในทันที โดยแสดงในช่องการค้นหามีทั้ง Search Volume และ CPC (ราคาเฉลี่ยต่อคลิก สำหรับผู้ใช้ Google Ads) และด้านซ้ายของหน้าจอ เราสามารถดู Keyword Ideas ไว้ใช้สำหรับดูคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลักที่เราค้นหาสำหรับทำ SEO ได้
เช็คคีย์เวิร์ดด้วย Keyword planner
ข้อเสียในส่วนของวิธีหาด้วย Keyword Surfer นั่นคือเราไม่สามารถดูข้อมูลได้ทุกคำ ทำให้ทำ SEO ด้วยตัวเองได้ช้าและมีขีดจำกัด ดังนั้นผมจะมาดูผ่านเครื่องมือของ Google Ads โดยตรงนั่นคือ Keyword planner
Keyword planner เป็นเครื่องมือหลักของ Google ดังนั้นในโปรแกรมต่าง ๆ รวมถึง Keyword surfer เองจะอ้างอิงข้อมูลจากตัว Keyword planner ทั้งหมด
เครื่องมือนี้จะเหมาะกับคนที่ทำ SEO ด้วยการยิงโฆษณาผ่าน Google Ads เท่านั้น เพราะข้อมูลที่แสดงนั้นจะแสดงเป็นตัวเลขให้กับเฉพาะผู้ที่ยิงโฆษณา
STEP 2 Keyword Mapping วางแผนคีย์เวิร์ดแพลน ก่อนเริ่มทำ SEO on page
Keyword Mapping คือ การวางเฟรมเวิร์คคีย์เวิร์ดของเว็บไซต์ โดยเราจะเตรียมคีย์เวิร์ดที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อนำมาใส่ในเว็บไซต์ในกระบวนการของการทำ On-page
ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มทำSEO ให้กับเว็บไซต์ จะต้องหา Keyword mapping เพื่อเตรียมสำหรับใส่ในเว็บไซต์ของเราในกระบวนการทํา SEO โดยหลัก ๆ สามารถแบ่งประเภทของคีย์เวิร์ดได้ 2 ส่วนคือ Commercial Keyword และ Information Keyword (บางสำนักให้มากกว่านี้ แต่ผมมองว่าแค่ 2 ส่วนนี้ก็ทำให้เราเห็นภาพได้ง่ายแล้ว )
Commercial Keyword
Commercial Keyword คือ กลุ่มคำที่ทำให้เราเกิดยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นบริการหรือสินค้า รวมถึงคีย์เวิร์ดที่ช่วยเพิ่ม LEAD เช่น บริการกำจัดปลวก, รับทำSEO, โรงงานผลิตครีม, ฉีดโบท็อก จะเห็นว่ากลุ่มคำประเภทนี้จะสามารถเรียกลูกค้าที่กำลังต้องการใช้บริการกับเรา คีย์เวิร์ดประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินให้กับธุรกิจและได้รับความนิยมในการทํา SEO ให้ติดอันดับ
Information Keyword
Information Keyword คือ คีย์เวิร์ดประเภทข้อมูล เป็นประเภทที่ให้ข้อมูลกับลูกค้าของเราเป็นหลัก คีย์เวิร์ดประเภทนี้จะถูกนำมาใช้เป็นบทความเพื่อให้คนที่ค้นหาข้อมูลได้เจอเราผ่านการทำ SEO จนนำไปสู่การทำ CRM ต่อไปได้ ซึ่งเป็นหลักการทํา SEO ที่เริ่มต้นได้ไม่ยากนัก
STEP 3 ทำ SEO ต้องวางโครงสร้าง Site Structure
การทำ Site Structure คือการวางโครงสร้างคีย์เวิร์ดของเว็บไซต์ เพื่อให้ Googlebot รู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่สำคัญ
เครดิต https://wiseseo.guru/what-is-the-best-site-structure
จากในส่วนของการวาง Keyword mapping เมื่อเราเตรียมคีย์เวิร์ดไว้เรียบร้อย สเต็ปต่อไปก็ถึงเวลาที่เราจะนำมาใช้งานแล้ว
วิธีการการทํา SEO Website แบบนี้นั้นไม่ยากเลย ในส่วนของ Site Structure นั้นจะเห็นว่าลำดับแรกเริ่มจาก Home Page ไล่มาที่ Main Topic Page > Sub-Topic Pages > Posts
Home Page
ในส่วนนี้ ปกติเราจะไม่วางคีย์เวิร์ดในการทำ SEO ไว้ที่หน้าแรก เพราะเป็นหน้าที่เน้นรวมเนื้อหา และความสวยงาม แต่ทั้งนี้นี้ก็แล้วแต่คีย์เวิร์ดและการออกแบบของแต่ละเว็บไซต์ด้วย
อย่างถ้าคีย์เวิร์ดมีจำนวนที่น้อยในธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงงานปั๊มโลหะ บางครั้งผมก็เลือกใส่คีย์เวิร์ดในหน้า Home page ไปเลย ถ้าบริการของคีย์เวิร์ดมีไม่เยอะ แล้วก็นำคีย์เวิร์ดประเภท Commercial ไปไว้ในส่วน Main Topic pages ต่อ
Main Topic Pages
ในหน้านี้จะเป็นหน้าบริการ หรือสินค้าของเราเน้นวาง Onpage คีย์เวิร์ดที่เป็น Commercial (ที่เราเตรียมไว้แล้วมาสร้างเป็นหน้าบริการ เช่น คีย์เวิร์ด “บริการกำจัดปลวก” “ประกันรถยนต์” “โรงงานผลิตครีม”
ถ้าเป็นเว็บ E-Commerce การทำ SEO หน้านี้เราจะใช้เป็นหน้าที่รวมสินค้า เพื่อที่จะดันคีย์เวิร์ดประเภท SEO E-commerce เช่น “โน้ตบุ๊ค” “เครื่องสำอาง” “เฟอร์นิเจอร์”
Sub-Topic Page
หน้านี้จะมีหรือไม่มีก็ได้สำหรับการทำ SEO ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดที่เราเตรียมมา ถ้าใครมีคีย์เวิร์ดที่เป็นประเภท Commercial เยอะ หรือคิดว่าคีย์เวิร์ดนี้น่าจะยังเป็นคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าค้นหาอยู่
เช่น คีย์เวิร์ด “มาตรฐานผลิตอาหารเสริม” สำหรับธุรกิจโรงงาน OEM แม้คำจะไม่แรงเท่า”โรงงานผลิตครีม” แต่ก็เป็นคำที่คนค้นหาน่าจะกำลังสนใจสร้างผลิตภัณฑ์
ส่วนถ้าเป็นเว็บ E-Commerce ในส่วนนี้เราสามารถวางโครงให้เป็นสินค้าของเราก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การออกแบบ
Post
หน้าบทความจะใช้กับคีย์เวิร์ดประเภท Information Keyword ทั้งหมด หรือคีย์เวิร์ดประเภท Long tail keyword ในส่วนบทความนี้มีความสำคัญมากในการทำ SEO ยิ่งเยอะยิ่งดี โดยให้ใช้วิธีการทำเนื้อหาในลักษณะ Content Hub จะช่วยเสริมให้คีย์เวิร์ดที่เราตั้งใจทำนั้นติดคีย์เวิร์ดได้ง่ายขึ้น
การทํา SEO เบื้องต้นแนะนำว่าหน้าบทความ ให้ใส่ Internal link ไปหาบทความคีย์เวิร์ดอื่นเพื่อเป็น Content Hub และส่งไปหน้า Main Topic Pages เพื่อเป็นการช่วยดันคีย์เวิร์ด Commercial ของเราได้อีกด้วย
โอเค พอเริ่มเห็นภาพกันแล้วนะ ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างจากคีย์เวิร์ดที่เราเตรียมไว้ว่าจะนำมาใช้งานได้อย่างไร
ตัวอย่างการทํา SEO เว็บไซต์
ต่อจากนี้จะเป็นการสอนทําseoจากภาพ ซึ่งจะเห็นว่าคีย์เวิร์ดกลุ่มธุรกิจกำจัดปลวก แต่ด้วยความที่คีย์เวิร์ดที่เตรียมมานั้นไม่ได้มีเยอะ หลัก ๆ ผมเลยไม่ใส่ Sub-topic pages แต่จริง ๆ แล้วนอกจากบริการกำจัดปลวก ธุรกิจนี้มักจะพ่วงกลุ่ม กำจัดมด หนู แมลงสาบ เข้าไปอีก ก็สามารถเพิ่มเนื้อหาเหล่านี้เป็น Sub ได้
และในหน้านี้ด้วยความที่คีย์เวิร์ดน้อย เลยตั้งใจใส่คีย์เวิร์ดในหน้า Home (เป็นไง ลบล้างทุกทฤษฎีที่เพิ่งคุยไป) อย่างที่ผมบอกว่าอันนี้แล้วแต่การออกแบบของแต่ละคนและในคีย์เวิร์ด Information จะเห็นว่ามี Search Volume ที่ดีพอสมควร ในคีย์เวิร์ดเหล่านี้ผมนำมาเป็นหน้าบทความ เพราะคีย์เวิร์ดเหล่านี้จะติดอันดับจากคอนเทนต์ที่เป็นลักษณะบทความ (มากกว่าส่วนบริการ)
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทํา SEO google
จริง ๆ ผลลัพธ์จากการทำ SEO นี้ไม่ได้ดีอะไรมากเมื่อเทียบกับการทำSEO ในธุรกิจอื่นแต่สำหรับในธุรกิจนี้ การได้ลูกค้าต่อเดือนกับหักค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเสียให้กับการยิงโฆษณา เท่านี้ก็ถือว่าได้กำไรค่อนข้างดีและได้เปรียบคู่แข่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อวางโครงสร้างเสร็จจากนั้นเราจะนำมาวางเป็น On-page ของเว็บไซต์เรา และใช้ Internal link เป็นส่วนเชื่อมโยงในแต่ละหน้าที่เราวางแผนไว้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนทำSEO ที่ต้องศึกษาคือเรื่องของการทำ Internal link
Internal link สำคัญยังไง?
Internal link คือ ลิงก์ (Link) ที่อยู่ภายในเว็บไซต์หรือโดเมนของเราเมื่อกดแล้วจะนำไปสู่หน้าต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเว็บไซต์ โดย Internal link จะเป็นช่องทางที่นำผู้ใช้งานไปสู่หน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์
ตัวอย่างInternal link. ถ้าคุณกำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์แล้วสงสัยว่าต้องอัพบทความบ่อยแค่ไหนถึงจะดีต่อ SEO ผมแนะนำให้ลองดูเนื้อหาจากบทความนี้ดู
Internal link สำคัญกับการทำ SEO ยังไง?
Internal link เป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำ SEO On-page เพราะช่วยให้ Google bot เข้าใจได้ง่ายว่าหน้านี้เราต้องการคีย์เวิร์ดอะไร ช่วยในเรื่อง index ข้อมูลได้อย่างมาก ดังนั้นการวางแผนในการทำ On-page จะเกี่ยวเนื่องกับการทำ Internal link ทุกครั้ง เพราะเราต้องนำมาวางแผนว่าทำอย่างไรให้ตัวบอท Google เก็บข้อมูลในส่วนนี้ได้
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก backlinko
เรื่องการทำ Internal link เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าเข้าใจหลักก็จะสามารถทำ On-page ได้เก่ง เดี๋ยวบทความต่อไปผมจะมาเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันยาว ๆ อีกรอบ
STEP 4 สร้าง Content hub
ขั้นตอนการทํา SEO ต่อไป นั่นก็คือการสร้าง Content Hub ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้นด้วย Internal link ทำให้ Google bot จับข้อมูลได้ดีขึ้น วิธีการนี้ยังช่วยเสริมให้คีย์เวิร์ดที่เราต้องการทำ SEO นั้นครอบคลุมเนื้อหาได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะโดยปกติในคีย์เวิร์ด 1 เรื่อง จะมีประเด็นหลากหลายที่เราสามารถนำมาทำเป็นบทความได้
สมมติว่าผมกำลังทำเนื้อหาเกี่ยวกับคีย์เวิร์ด “สร้างแบรนด์ครีม” ผมอยากรู้ว่ามีประเด็นไหนบ้าง ผมก็จะใช้วิธีหาผ่าน Keywordtool.io จากนั้นผมก็จะได้ไอเดียทั้งหมดของคีย์เวิร์ด
จะเห็นว่าคีย์เวิร์ด “สร้างแบรนด์ครีม” เราสามารถแตกเนื้อหาย่อยเป็น “วิธีสร้างแบรนด์ครีมกันแดด”, “เคล็ดลับสร้างแบรนด์ครีมรองพื้น”, “ตลาดแบรนด์ครีมราคาถูก ปั้นยังไงให้ปัง!” อันนี้คือประเด็นที่เรามาแยกในการทำ SEO ได้
จากนั้นให้ทำในส่วนของ Internal link เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน โดยเอาบทความแต่ละอันข้างบนมาโยงหากัน. และที่สำคัญคือโยง anchor text ไปหาหน้าคีย์เวิร์ดหลัก “สร้างแบรนด์ครีม”
Anchor text คือการสร้างลิงก์โดยผ่านข้อความ โดยการเชื่อมโยงที่ดีนั้นจะต้องใช้ข้อความที่เกี่ยวกับบทความที่เรากำลังจะลิงก์ไปด้วย
เมื่อบทความชุดไหนเริ่มติดอันดับจากการทำ SEO ยิ่งเป็นบทความที่ใช้ Long tail Keyword จะยิ่งทำให้ติดง่าย พอติดแล้วก็จะช่วยให้กระตุ้นอันดับบทความอื่น ๆ ที่เราลิงก์ได้ดีขึ้น
ดังนั้นออกแบบเนื้อหาคอนเทนต์ให้ดี วางกลยุทธ์ว่าจะมีหัวข้อบทความอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง บทความเยอะก็ช่วยได้เยอะ ทำ Internal link ให้กับบทความ คอยสังเกตอันดับแล้วทำการปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ เท่านี้เราก็สามารถทำSEO ด้วยตัวเองได้แล้ว
หากเพื่อนๆเริ่มทำSEO ให้กับเว็บไซต์แล้ว ผมแนะนำคู่มือทำ On-page ด้วยตัวเอง คลิกในลิงก์เพื่ออ่านต่อ
>>อัปเดตล่าสุด สถิติ SEO ROI ปี 2023 ที่คุณควรรู้ไว้ คลิกอ่านที่นี่<<
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
วิธีทำ SEO Google คืออะไร
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์นั้นแสดงผลบนผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google ให้มีการปรากฏขึ้นในอันดับสูงขึ้น
ตัวอย่างการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ
เคสธุรกิจ Airbnb ประสบความสำเร็จด้วยการทำ SEO โดยเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับที่พักและประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ผู้คนค้นหาบ่อย ช่วยเพิ่มการติดอันดับสูงในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
ทำ SEO มีข้อดีอย่างไร
- เพิ่มการปรากฏในผลการค้นหา
- เพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขาย
- ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้
- ลดค่าใช้จ่ายโฆษณาจำนวนมาก
- สร้างความรู้จักและยอดขายในระยะยาว