Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร สำคัญต่อการยิง Ads อย่างไรบ้าง
Click Through Rate (CTR) หรือ อัตราการคลิกผ่าน คือ ตัวชี้วัดที่สำคัญในโลกของการตลาดดิจิทัล โดย CTR แสดงถึงเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่คลิกเข้ามาที่โฆษณาเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ที่เห็นโฆษณานั้น ๆ ในแต่ละแคมเปญการตลาด
CTR คืออะไร สำคัญอย่างไรกับธุรกิจยุดิจิทัล
Click Through Rate (CTR) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในยุคการตลาดดิจิทัล ซึ่งบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของโฆษณาในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยการคำนวณ CTR จะอิงจากความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนครั้งที่ผู้คนคลิกเข้าไปยังโฆษณาเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณานั้นถูกแสดงให้เห็น
ค่า CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ถึงจะดี
ค่า CTR ที่ถือว่าดีจะแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและชนิดของแคมเปญที่คุณทำการตลาด สำหรับแคมเปญโฆษณาในบางประเภท เช่น อีคอมเมิร์ซ ค่า CTR ที่ดีอาจอยู่ที่ประมาณ 2-5% แต่สำหรับแคมเปญที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะหรือโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องสูง ค่า CTR อาจสูงขึ้นไปถึง 6% หรือมากกว่า
สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาค่า CTR ในบริบทที่กว้างขึ้น เช่น ประสิทธิภาพของการแปลง (Conversion Rate) และ ROI (Return on Investment) เพื่อให้มีภาพรวมที่ชัดเจนถึงความสำเร็จของแคมเปญ ทั้งนี้ การปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้อง ล้วนมีส่วนสำคัญในการเพิ่มค่า CTR ให้สูงขึ้นได้เช่นกัน
CTR ที่ดี ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง
การมี CTR ที่ดีนั้นมีหลายปัจจัยที่ส่งผล ซึ่งสามารถสรุปได้ตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- ความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ CTR เพิ่มสูงขึ้น โฆษณาที่ถูกแสดงต่อผู้คนที่มีความสนใจในสินค้าและบริการจะมีแนวโน้มที่จะคลิกมากกว่า ส่งผลให้ค่า CTR สูงขึ้นตามไปด้วย
- เนื้อหาและการออกแบบโฆษณาที่ดึงดูด
เนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจและการออกแบบที่สวยงามสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดีกว่า คำเรียกร้องการกระทำ (CTA) ที่ชัดเจนและดึงดูดจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมคลิกมากขึ้น
- การทดลองและการปรับเปลี่ยน
การทดลอง A/B testing กับเนื้อหาและรูปแบบต่าง ๆ ของโฆษณาจะช่วยให้รู้ว่าอันไหนมีประสิทธิภาพดีกว่า การปรับเปลี่ยนและพัฒนาแคมเปญอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ค่า CTR ได้ประโยชน์สูงสุด
- ความเกี่ยวข้องของโฆษณากับเนื้อหา
โฆษณาที่สามารถเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ผู้ชมสนใจจะช่วยทำให้ผู้ชมมีแนวโน้มที่จะคลิกมากขึ้น ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความเกี่ยวข้องระหว่างโฆษณากับสิ่งที่ผู้ชมต้องการค้นหาหรืออ่าน
- ใช้คำหลักที่เหมาะสม
การใช้คำหลักที่เข้ากับการค้นหาของผู้ใช้ในโฆษณาจะช่วยให้โฆษณาแสดงในผลการค้นหามากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการคลิก คลิกอย่างมีเป้าหมายด้วยเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ที่เจาะจง
ตัวอย่างค่า CTR สำหรับโฆษณา
การวิเคราะห์ค่า CTR ของโฆษณาสามารถช่วยให้เราทราบว่าประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณานั้นดีแค่ไหน ตัวอย่างค่า CTR ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาจช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มและมาตรฐานที่น่าสนใจได้มากขึ้น
- อุตสาหกรรมเสื้อผ้า
ในแคมเปญโฆษณาออนไลน์ของสินค้าเสื้อผ้า มีค่า CTR คือจะอยู่ที่ประมาณ 1.5% ถึง 3.5% เนื่องจากตลาดนี้มีการแข่งขันสูง ผู้ชมมักมีความเฉพาะเจาะจงในสไตล์และแบรนด์
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ในแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ค่า CTR ที่น่าพอใจอยู่ในช่วง 2% ถึง 4% เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีการค้นหาอย่างต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
สำหรับแคมเปญโฆษณาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ค่า CTR โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4% ถึง 6% เนื่องจากผู้คนมีความสนใจที่จะค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวและโปรโมชั่นพิเศษ
- อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ในการโฆษณาสินค้าอาหาร ค่า CTR อาจอยู่ในช่วง 1% ถึง 3% แต่หากมีกลยุทธ์การตลาดที่ดี ก็สามารถเพิ่มเป็น 4% ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อทำโปรโมชั่นหรือเสนอสิ่งดึงดูด
- อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม
CTR คือ ค่าสำหรับโฆษณาในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามมักจะอยู่ที่ประมาณ 3% ถึง 5% นักการตลาดมักจะใช้เนื้อหาที่ส่งเสริมการดูแลตนเองเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
CTR ใน Google กับ Facebook ต่างกันอย่างไร
เมื่อพูดถึงการตลาดออนไลน์ ค่า CTR (Click-Through Rate) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่สำคัญ โดยการเปรียบเทียบค่า CTR ระหว่างโฆษณาใน Google และ Facebook จะช่วยให้เราเข้าใจถึงการทำงานของแต่ละแพลตฟอร์มได้ดียิ่งขึ้น
1. รูปแบบการโฆษณา
- Google Ads CTR Google เป็นค่าคำค้นหาของผู้ใช้เป็นพื้นฐานหลักในการแสดงโฆษณาใน Google ดังนั้นโฆษณาจะต้องสัมพันธ์กับคำที่ผู้ใช้ค้นหา ทำให้ค่า CTR มักจะสูงกว่าเมื่อผู้ใช้มีความตั้งใจในการค้นหาข้อมูลหรือสินค้าที่เฉพาะเจาะจงอยู่แล้ว
- Facebook Ads CTR Facebook คือโฆษณาที่ฟื้นตัวจากความสนใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้นหาโดยตรง ผู้ใช้สามารถพบเห็นโฆษณาในฟีดข่าวสารโดยไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลก่อน จึงทำให้ค่า CTR อาจต่ำกว่าแต่มีโอกาสในการสร้างการรับรู้แบรนด์ได้มากขึ้น
2. ประเภทของกลุ่มเป้าหมาย
- Google มักจะดึงดูดผู้ใช้ที่มีความตั้งใจชัดเจน เช่น ผู้ใช้ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือหาข้อมูลในขณะที่กำลังค้นหา ส่งผลให้ CTR มีแนวโน้มสูงขึ้นในนาทีที่พวกเขาต้องการ
- Facebook CTR Facebook คือค่าที่ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกโฆษณาในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังมองหาความบันเทิง หรือสอบถามข้อมูลที่สนใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีความตั้งใจเจาะจงชา ทำให้การกำหนดเป้าหมายอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่า
3. ค่า CTR โดยทั่วไป
- Google ค่า CTR Google สำหรับโฆษณา มักจะอยู่ในช่วงที่สูงกว่าหรือประมาณ 2% ถึง 5% ขึ้นอยู่กับคำค้นหาและอุตสาหกรรม
- Facebook ในขณะที่ค่า CTR Facebook คือ ค่าเฉลี่ยอาจอยู่ในช่วง 0.5% ถึง 2% ซึ่งต่ำกว่า Google แต่มีศักยภาพในการสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น
4. การวัดผลและการปรับตัว
- Google จะมีการวิเคราะห์คำค้นหาและเปิดให้ทำ A/B testing กับโฆษณาเพื่อเพิ่มคุณภาพ ดังนั้นนักการตลาดจะสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
- Facebook ต้องเน้นที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้และมีการใช้ข้อมูลจากการมีส่วนร่วมเพื่อปรับแต่งโฆษณาให้ตรงตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
หากต้องการทำ SEO หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ SEO สอบถามรายละเอียดฟรี!! กับ FUNNEL
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CTR คืออะไร
CTR ใน tiktok คืออะไร
CTR ใน TikTok เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของบัญชีหรือผู้ลงโฆษณาทราบถึงความน่าสนใจของเนื้อหาหรือโฆษณาว่ามีผลตอบรับดีเพียงใดจากผู้ชม โดยปกติ CTR จะถูกวัดในระดับโพสต์หรือโฆษณา
ค่า CTR facebook ดูตรงไหน
เข้าไปที่ Facebook Ads Manager
เลือกแคมเปญที่คุณต้องการดูข้อมูล
ในส่วนของรายงาน คุณสามารถเลือก “Performance and Clicks” หรือปรับแต่งคอลัมน์เพื่อเพิ่มคอลัมน์ที่แสดงค่า CTR ได้
ค่า CTR จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ในคอลัมน์ที่ชื่อว่า “CTR (Link Click-Through Rate)” ซึ่งจะบอกถึงอัตราส่วนของจำนวนคลิกที่ลิงก์ เทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณานั้นถูกแสดงผล
CVR คิดยังไง
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีคลิกทั้งหมด 1,000 ครั้ง และมี Conversion 50 ครั้ง CVR จะเท่ากับ 5%
CVR เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณเข้าใจว่าการทำการตลาดหรือโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในการเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า หรือการกระทำที่คุณต้องการ