do_ecommerce

E-commerce คืออะไร 10 สิ่งที่ควรและไม่ควร เมื่อคุณทำ SEO

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบัน โลกออนไลน์มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนเราอย่างมาก การทำธุรกิจก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค จึงมีร้านค้าที่ก้าวเข้าสู่โลก E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) กันมากขึ้น โดยในบทความนี้เราจะมาคุยกันเรื่องกลยุทธ์ของการทำ SEO สำหรับวงการนี้ว่ามีสิ่งไหนที่ควรทำและไม่ควรทำกันบ้าง เพื่อให้การทำทำตลาดบน SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • 10 สิ่งที่ควรทำบน E-commerce เพื่อให้ SEO ดีขึ้น
  • 10 สิ่งที่ไม่ควรทำบน E-commerce เพื่อให้ SEO ดีขึ้น

เนื่องจากวงการอีคอมเมิร์ซนั้นคาดว่าจะคว้าส่วนแบ่งการค้าปลีกได้มากขึ้น โดยคาดว่าในระหว่างปี พ.ศ.  2564 ถึง 2568 จะเติบโตเกือบ 11 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 400,642,000 บาทเลยทีเดียว

ดังนั้น เมื่อแนวโน้มของการเจริญเติบโตของวงการนี้เป็นที่น่าพอใจของผู้ค้าออนไลน์หลายๆ คน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การแข่งขันทางการตลาดออนไลน์จึงเพิ่มมากขึ้น โดยวิธีการทำการตลาดด้วย SEO ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ผู้ค้าเลือกที่จะทำ เพราะนอกจากจะเป็นการทำ Branding แล้ว ก็ยังเป็นการทำ Marketing แบบระยะยาวอีกด้วย

10 สิ่งที่ควรทำกับกลยุทธ์ SEO สำหรับ E-commerce

1.ปรับปรุงแนวทางการหา Keyword

เนื่องจาก Keyword เป็นตัวกำหนดความเสถียรในการค้นหาผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเน้น Keyword ที่มี Search Volume มากเสมอไป แต่ควรเน้นคำที่สามารถสร้าง Conversion ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ Keyword ประเภทนี้จะสามารถทำให้เราตรวจสอบได้และรู้แนวทางของการปรับปรุง Product page แล Landing page ได้ดีขึ้นด้วย

2.ให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อบทความและการเขียน Meta Description

เนื่องจากทั้ง 2 อย่างเป็นวสิ่งที่สำคัญและส่งผลต่อการค้นหาของผู้ใช้ ดังนั้น เจ้าของไซต์หรือผู้ที่ทำ SEO ต้องคอยตรวจสอบและใส่ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้ครบถ้วน เช่น

  • แบรนด์ของผลิตภัณฑ์ รวมถึงแบรนด์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณ
  • ชื่อผลิตภัณฑ์
  • หมายเลขรุ่น
  • ข้อมูลสำคัญอื่นๆ (เช่น มิติข้อมูล)

3.เพิ่มมูลค่าให้กับหน้าสินค้า (Product page) ด้วย ข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน (Structured Data)

เพราะการมี ข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน และถูกต้องนั้น  จะช่วยให้แบรนด์ของคุณปรากฏในตัวอย่างข้อมูลสื่อสมบูรณ์ได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างการกระตุ้นคลิกอีกทั้งยังปรับปรุง CTR ของคุณและเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

4. ใช้ FAQ ให้เป็นประโยชน์

แม้จะดูเป็นหลักการทำ SEO ที่ธรรมดา เป็นเพียงแค่การนำคำถามของลูกค้ามาตอบ แต่แท้จริงแล้ว FAQ สามารถจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราไดเป็นอย่างมาก ซึ่ง FAQ ที่ควรทำ คือนำคำถามที่ลูกค้ามักถามบ่อยๆ และนำมาตอบในเนื้อหาของไซต์ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเพิ่มแรงกระตุ้นในการตัดสินใจได้อย่างมากเช่นกัน

5.เขียนอธิบายผลิตภัณฑ์ใน Meta Description ให้โดดเด่นไม่เหมือนใคร

การพิมพ์ Meta Description ซ้ำๆ อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราดูเหมือนกับของแบรนด์อื่นๆ และอาจทำให้ไม่น่าสนใจ ซึ่งสินค้าแต่ละรายการที่ทำเนื้อหาด้วย SEO สามารถถูกจัดอันดับตามคำหลักที่ชื่อมีแบรนด์และไม่มีก็ได้ ดังนั้นควรมีคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกันเพื่อใช้ประโยชน์จาก SEO อย่างเต็มที่

6.โชว์รีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ ให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้เห็น

การอ่านรีวิวจากลูกค้าคนก่อนหน้านี้ สามารถสร้างแรงกระตุ้นในการซื้อให้กับลูกค้าใหม่ได้ถึง 52.2% ดังนั้น หากทางแบรนด์สามารถนำมารวมกับเนื้อหาของสินค้านั้นๆ บนไซต์ได้ก็จะสามารถช่วยให้เกิดการซื้อได้เช่นกัน และยังช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์และทำความรู้จักกับสินค้าก่อนซื้อได้ด้วย

7.ทดสอบ Landing page บ่อยๆ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

เครื่องมือต่างๆ เช่น Optimizely และ Google Optimize เป็นวิธีที่ใช้งานง่ายในการทดสอบแม้แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยภายในหน้าผลิตภัณฑ์ ซึ่งคุณควรทำอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาการกำหนดค่าที่เหมาะสมที่สุด หรือการทำ Call to Action บางอย่างเพื่อทดสอบว่าจะสามารถกระตุ้นการขายให้ดีขึ้นได้อย่างไรอีกบ้าง

8.โพสต์รูปภาพและวิดีโอของสินค้า

เป็นธรรมดาที่การซื้ออนไลน์นั้น ลูกค้าจะไม่สามารถเห็นสินค้าตัวจริงได้ ไม่สามารถสัมผัสและลองใช้ได้ก่อนจนกว่าจะทำการซื้อ ดังนั้น การลงภาพหรือวิดีโอของสินค้าจึงสามารถสร้างแรงกระตุ้นในการตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจรวมถึงวิดีโอตอบคำถามลูกค้าและวิดีโอแนะนำสินค้าด้วยก็ได้เช่นกัน

9. ดูแลและปรับความเร็วของไซต์

การปรับวามเร็วของไซต์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่มากเกินไป การใช้รูปที่มีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้เว็บไซต์ต้องแบกข้อมูลค่อนข้างหนัก ดังนั้นผู้ที่ทำ SEO ต้องคอยดูให้ไซต์นั้นมีความเร็วอยู่เสมอ โดยเฉพาะการปรับให้ความเร็วของไซต์สะดวกต่อการเปิดในโทรศัพท์ (Mobile Friendly) เนื่องจากผู้ใช้ในปัจจุบันมักหาข้อมูลสินค้าบนมือถือเป็นส่วนใหญ่

10. คอยตรวจสอบ Product Page อยู่เสมอ

เป็นการคอยสำรจดูว่ามีหน้าสินค้าหน้ไหนที่เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคของ SEO หรือไม่ เช่นบางหน้าอาจจะเนื้อหาซ้ำกัน, URL ซ้ำกัน, เกิดหน้า 404 หรือลิงก์เสีย เป็นต้น เพราะปัญหาเช่นนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับไซต์ในระยะยาวได้หากไม่แก้ไข

10 สิ่งที่ไม่ควรทำกับกลยุทธ์ SEO สำหรับ E-commerce

1.พยายามอย่าใช้คำอธิบายสินค้าจากโรงงานผลิตแบบเป๊ะๆ

เนื่องจากคำอธิบายผู้ผลิตจำนวนมากไม่น่าสนใจ ขาดข้อมูลทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการ และไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการค้นหา ดังนั้น แบรนด์หรือคนทำ SEO ควรสละเวลาเขียนคำอธิบายที่ให้ข้อมูลและมีส่วนร่วมมากขึ้น ยิ่งข้อมูลรายละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

2.อย่าลบหน้าแคมเปญสินค้าทิ้งเมื่อหมดเขตของแคมเปญลง

หลายๆ แบรนด์มักทำเช่นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อผิดพลาดมากๆ เนื่องจากเมื่อแต่ละแบรนด์มีโปรโมชั่น/แคมเปญสินค้าต่างๆ เมื่อหมดเขตของการทำแคมเปญหรือโปรโมชั้นนั้นๆ ก็จะลบ page สินค้านั้นออก ซึ่งไม่ควรทำเช่นนั้น วิธีที่ดีกว่าคือ เมื่อหมดอายุของแคมเปญลงให้ปล่อยไปสักพักหลังจากนั้นเมื่อมีแคมเปญใหม่จึงค่อยอัพเดทบน page ดังกล่าวอีกครั้ง

3. พยายามอย่าติดแท็กแบบอัติโนมัติ

เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางแบรนด์จะติด # (แฮชแท็ก) ชื่อสินค้าตามด้วยชื่อแบรนด์ ซึ่งเครื่องมือบางเครื่องมือที่ใช้ในการเขียนบทความ SEO นั้นสามารถติดแท็กได้เองตามอัติโนมัติ แต่การทำเช่นนี้ไม่ค่อยมีผลกับการค้นหาเท่าที่ควรและอาจส่งผลเสียต่อ CTR ของคุณด้วย ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือพยายามพิมพ์แท็กต่างๆ ด้วยตนเองแลเพิ่มคำที่คิดว่าตรงกับ Keyword ที่ลูกค้าจะค้นเจอมากขึ้นบน Search Engine จะดีกว่า

4. เมื่อสินค้าหมด ไม่ควรลบหน้าสินค้านั้นออก

เป็นกรณีที่คล้ายกับการลบหน้าเคมเปญสินค้า การลบ page ออกบ่อยๆ จะทำให้ Google สับสนมากขึ้น ดังนั้นเมื่อสินค้าหมดควรปล่อยทิ้งไว้ รอจนมีสินค้าใน Stock แล้วจึงอัพเดทจำนวนอีกครั้ง ทั้งนี้ในขณะที่รอ ก็สามารถนำลิงก์สินค้าอื่นๆ ที่คล้ายกันมาแนบไว้เพื่อให้ผู้ใช้ที่สนใจกดเข้าชมในหน้าอื่นๆ แทนก่อน

5.อย่าใช้ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน

เช่น คำวิจารณ์ รีวิว หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์แบบสั้นๆ เนื่องจากเป็นการยากต่อ User ที่ค้นหาผลิตภัณฑ์จาก Google เพราะเนื้อหาในรูปแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่มีโครงที่ชัดเจน จึงอาจยากต่อการจัดอันดับจาก Google ได้ ดังนั้นควรใช้เนื้อหารูปแบบอื่นที่มีความชัดเจนกว่านี้

6. ไม่ควรละทิ้งปัจจัยที่ทำให้เกิด Conversion บนไซต์

จำเอาไว้ว่าการสร้างแบรนด์ต้องมาพร้อมกับการเพิ่มยอดขาย ดังนั้นการทำสิ่งใดที่ถือว่าเป็น Call to action ไม่ใช่สิ่งที่ผิด บางแบรนด์นั้นอาจจะอยากใ้เว็บไซต์ดูสะอาดสะอ้าน ไม่มีปุ่มติดต่อกลับ ปุ่มซื้อ ฯลฯ ให้รก แต่หากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผู้ใช้อาจไปหาคู่แข่งของเราแทนก็เป็นได้

7. อย่าตามใจเจ้าของแบรนด์จนเกินไป (กรณีผู้รับทำ SEO)

สำหรับผู้ที่ทำ SEO นั้น หลายๆ คนมีลูกค้าเป็นเจ้าของแบรนด์ ซึ่งในกรณีนี้เจ้าของแบรนด์นั้นๆ อาจมี Keyword ในใจมาบ้างแล้วว่าอยากถูกค้าเจอในคำไหนบ้าง ซึ่งคำที่เขาเลือกอาจไม่มี Serch Volum เลย ก็เป็นหน้าที่ของคนทำ SEO ที่ต้องแนะนำว่าไม่สามารถใช้ Keyword นั้นได้ เพราะแม้จะตรงตามคำต้องการของเจ้าของแบรนด์ แต่ถ้าหากไม่มีผู้ใช้คนไหนค้นหาเจอเลย ก็ถือว่าไม่มีประโชน์อยู่ดี

8. อย่าลืม Internal / External Link

สำหรับการทำ E-commerce นั้น ลิงก์ ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ บ่อยครั้งที่แบรนด์สร้างลิงก์ไปยังหน้าแรกและหน้าหมวดหมู่แต่ลืมให้ความสำคัญกับหน้าสินค้า (Product page) ซึ่งเป็นหน้าที่สามารถสร้างรายได้และยอดขายไ้อย่างมาก ดังนั้นไม่ควรลืมแนบลิงก์ของหน้าดังกล่าวไปตามเนื้อหาหน้าอื่นๆ เพื่อการกระจายการคลิกเข้าชมของผู้ใช้ด้วย

9. อย่าคิดราคาสินค้าจนสูงเกิน

การไม่มีกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมอาจทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าของคุณและอาจไม่ไว้วางใจแบรนด์ของคุณได้ ดังนั้นเจ้าของแบรนด์ควรมีแผนและปรับกลยุทธ์ในการตั้งราคาให้สมเหตุสมผลกับลูกค้าด้วย

10. อย่าลืมปรับความเร็วของเว็บไซต์

จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความเร็วของเว็บไซต์เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะความเร็วบนมือถือของเหล่า User เพราะในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครอยู่รอให้เว็บไซต์ปรากฏขึ้นมาในเวลาที่นานจนเกินไป ดังนั้นหากมีเนื้อหาหรือรูปที่ดูเกินขนาดหรือหนักเกินไป ก็ควรปรับปรุงแลแก้ไขให้เว็บไซต์ของเรามีความไวขึ้น

ท้ายที่สุด อ่างที่ได้กล่าวไปว่า Ecommerce นั้นยังคงเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้และอนาคตอันใกล้ยังคงต้องการ เนื่องด้วยสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตในปัจจุบันและความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ดังนั้นผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ต่างๆ จึงควรปรับและพัฒนาแผนการตลาดออนไลน์อยู่เสมอเพื่อให้แบรนด์ของตนเองยังมีความมั่นคงและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคต่อไป

Similar Posts