YMYL คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับการทำ SEO อยากเป็นลูกรัก Google ต้องรู้จัก
YMYL คือ “Your Money or Your Life” หมายถึงเว็บไซต์ที่มีความสำคัญสำหรับความเป็นมิตรกับผู้ใช้เกี่ยวกับด้านการเงินหรือสุขภาพของพวกเขา นั่นหมายความว่าเนื้อหาและข้อมูลในหมวดหมู่นี้จะถูกสร้างอย่างรอบคอบและมีคุณภาพสูง สำหรับสาย SEO แน่นอนว่านอกจาก YMYL แล้วต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับหลัก E-A-T และ E-E-A-T ที่เรียกได้ว่าเป็นหลักการที่ช่วยในการจัดอันดับบนหน้าของ Google ทั้งสามอย่างนี้จะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร มาดูกัน
E-E-A-T คืออะไร?
E-E-A-T ย่อมาจาก “Experience, Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness” เป็นกฎเกณฑ์ล่าสุดที่ Google อัปเดตจาก E-A-T Factor เดิมที Google นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ E-A-T Factor ประกอบด้วย
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
- Authoritativeness (ความมีอิทธิพล)
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
ซึ่งหลัก E-E-A-T เพิ่มหลัก E มาอีก 1 ตัวนั่นคือ E : Experience นั่นเอง โดยหากแปลตรงตัวคำคำนี้จะหมายถึง “ประสบการณ์” ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าแล้วประสบการณ์ที่ว่ามันคืออะไรกันแน่ เดี๋ยวเราจะมาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กัน
เกร็ดน่ารู้:
Google อัปเดตหลักเกณฑ์ผู้ประเมินคุณภาพการค้นหาประมาณปีละครั้ง โดยมี Timeline คร่าว ๆ ในการอัปเดตที่สำคัญของ Google เกี่ยวกับหลัก E-E-A-T ต่อไปนี้
- มีนาคม 2013 : Google ได้ทำการเผยแพร่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การให้คะแนนคุณภาพการค้นหาอย่างเป็นทางการ
- มีนาคม 2014 : Google เพิ่ม EAT (ความเชี่ยวชาญ ความมีอิทธิพล และความน่าเชื่อถือ) ในหลักเกณฑ์การให้คะแนนคุณภาพการค้นหาดังกล่าว
- ธันวาคม 2022 : Google เปิดตัว EEAT โดยเพิ่ม “E” พิเศษเข้ามาอีก 1 ตัว โดยเป็นตัวย่อของคำว่า “Experience” ที่แปลว่า “ประสบการณ์”
โดยหลังจากนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและหลักการใช้ที่ซ่อนอยู่ในตัวอักษรแต่ละตัวของหลัก E-E-A-T ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
E: Experience ประสบการณ์
“Experience” หรือ ประสบการณ์ โดย Experience ในที่นี้จะหมายถึง ประสบการณ์ของผู้สร้างเนื้อหาว่ามีประสบการณ์โดยตรงหรือประสบการณ์จริงในหัวข้อนี้หรือไม่ เช่น หากทำการเขียนรีวิว ผู้เขียนเคยใช้สินค้าหรือบริการนั้นหรือเปล่า, หากเป็นการเขียนสูตรอาหารผู้เขียนเคยทำอาหารมาก่อนหรือไม่ หรือทำการเขียนเนื้อหาจากแหล่งที่มาที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น เขียนถึงการใช้แบบฟอร์มภาษี แต่ให้ไปดาวน์โหลดเอกสารได้จากเว็บไซต์ทำอาหาร เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น พิจารณาบทวิจารณ์นี้สำหรับเกมกระดาน Wingspan ซึ่งผู้เขียนพูดถึงประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวของตนเอง และโพสต์รูปถ่ายรีวิวไว้ด้วยเพื่อพิสูจน์ว่าผู้เขียนได้เล่นเกมนี้จริง ๆ
E: Expertise ความเชี่ยวชาญ
สำหรับ E Expertise ที่แปลได้ว่า ความเชี่ยวชาญ นั้น ถือเป็นหนึ่งจุดที่สำคัญของหลักการนี้ที่ช่วยในการทำให้ Google มองว่าเนื้อหาของเราเป็นเนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ
ซึ่งเป็นปกติที่ว่า User ที่เข้ามาค้นหาข้อมูล ต้องการทราบถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ ดังนั้น ข้อมูลเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องมาจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญนั่นเอง จึงเป็นไปตามระบบที่อัลกอริทึมของ Google จะตามหาและดันให้เนื้อหาของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีความรู้ตัวจริงให้อยู่ในอันดับที่สูง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในหลายครั้ง บางคนสับสนระหว่างความเชี่ยวชาญ กับ ประสบการณ์ เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วแม้จะมีบางจุดที่ทับซ้อนกัน แต่ E ทั้งสองตัวนี้ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ ซึ่งหากจะให้มองภาพออกง่าย ๆ เราต้องตั้ง Mindset ไว้ว่า ผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้มีประสบการณ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดียวกันก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น…
หัวข้อ การออมเงิน
โดย User บางคนต้องการคำแนะนำทางการเงินจากมืออาชีพที่ได้รับการรับรอง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นความเชี่ยวชาญอย่างหนึ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ
แต่สำหรับ User บางคนต้องการคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในชีวิตจริงมากกว่า
A: Authoritativeness ความมีอิทธิพล
ความมีอิทธิพล ในที่นี้ หมายถึง ชื่อเสียงโดยรวมในอุตสาหกรรมภาคนั้น ๆ หากคุณคือ Expert ในตลาดที่คุณกำลังทำอยู่ สิ่งที่จะตามมาคือ อิทธิพล หรือ อำนาจ (Authoritativeness) ที่คุณมักจะได้รับจากการอ้างอิง พูดถึง หรือที่เราเรียกกันว่า การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งคุณได้รับการอ้างอิงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับการที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการโหวตจากเว็บไซต์อื่น ๆ ว่าน่าเชื่อถือ ทำเนื้อหาได้ดีจนต้องนำไปอ้างอิงต่อ ซึ่งนี่ถือเป็นการแสดงให้ Google เห็นถึงความมีอิทธิพลและความเชี่ยวชาญ สุดท้ายเว็บไซต์ของคุณก็จะถูก Google จัดอันดับ Page Ranking ที่ดีขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น บทความเกี่ยวกับ อาการปวดท้อง จาก WebMD ได้รับการลงความเห็นว่าเป็นบทความที่เชื่อถือได้ เนื่องจากประกอบด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้
- WebMD เป็นสิ่งพิมพ์ที่มีชื่อเสียงสำหรับคำแนะนำทางการแพทย์
- ผู้เขียน – บรรณาธิการของ WebMD – เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
- พวกเขาขอให้ผู้เชี่ยวชาญ (โดยปกติคือแพทย์) ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา
โดยตามหลักแล้ว หากหน้าเนื้อหาหรือบทความของเรามีความน่าเชื่อถือมากพอ ก็จะทำให้หน่วยงานอื่น ๆ หรือเว็บไซต์ในแวดวงหรือในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น มาใช้ข้อมูลและอ้างอิงถึงเราเอง เพราะเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านี้มองว่าเราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เราจึงได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีนั่นเอง
T: Trustworthiness ความน่าเชื่อถือ
“ความน่าเชื่อถือ” เป็นส่วนสำคัญที่สุดของ Google EEAT SEO เลยก็ว่าได้ เพราะผู้ประเมินคุณภาพจะต้องคำนึงถึงผู้สร้าง เนื้อหา และเว็บไซต์ก่อนเป็นสำคัญ
ดังนั้น ผู้จัดทำเนื้อหาต้องระบุให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้เขียนเนื้อหาของคุณ แก้ไขเพื่อความถูกต้องตามความเป็นจริง อ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการซ่อนเนื้อหาไว้นั่นเอง
โดยตัวอย่างจากการพิจารณาของผู้ประเมินได้ระบุไว้ว่า ส่วนใหญ่แล้วหน้าเนื้อหาที่ดูไม่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด มักจะเป็นหน้าที่เกี่ยวกับ การชำระเงินที่ต้องเชื่อมต่อกับบัญชีหรือข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ของการซื้อของออนไลน์
แต่ก็ยังมีตัวอย่างของหน้าการชำระเงินจาก Pashion มาให้ดูว่าการจะทำให้หน้าการชำระเงินดูมีความน่าเชื่อถือได้ต้องทำยังไงบ้าง
จะเห็นได้ว่า จากตัวอย่างของ Pashion นั้นมีการจัดวางรูปแบบของหน้าชำระเงินดูเป็นสัดส่วน รวมถึงข้อความที่ระบุให้ User ได้ทราบด้วยว่า ข้อมูลทางที่เจรจาทางธุรกิจจะถูกทำให้ปลอดภัยและมีรหัสป้องกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงข้อความ แต่ก็สามารถทำให้ User รู้สึกได้ว่าข้อมูลของตนเองปลอดภัย
สาเหตุที่เราต้องดูถึงความน่าเชื่อถือเป็นพิเศษโดยเฉพาะในหน้าเนื้อหาที่มีเรื่องของการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนั่นก็เพราะมันมีส่วนสัมพันธ์กับหลัก YMYL ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้นั่นเอง
YMYL คืออะไร?
YMYL หรือ “Your Money Or Your Life” คือ Algorithm จากทาง Google ที่มีการอัปเดตใหม่เพื่อคัดกรองและจัดการเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ การใช้ชีวิตการเงินและด้านการลงทุนโดยเฉพาะ เพราะทาง Google ตระหนักและรู้ดีว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ใช้งานมีการให้ความสนใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆ รวมไปถึงด้านการเงินและการลงทุนมากขึ้น
ซึ่งหัวข้อเหล่านี้ล้วนมีความอ่อนไหวสูง เพราะถ้าหากไม่ได้ถูกเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จริง ๆ เนื้อหาของบทความหรือเว็บไซต์นั้น ๆ ก็อาจจะชักจูง ชักนำ และสร้างความเข้าใจผิดและส่งผลกระทบทางลบให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย
โดย E-E-A-T มีความสำคัญต่อ Google YMYL SEO เนื่องจากข้อมูลที่ผิดในหัวข้อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งต่อไปนี้
- บุคคลที่ดูเนื้อหานั้นโดยตรง
- ผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของบุคคลที่ดูเนื้อหา
- กลุ่มคนที่ได้รับผลจากการกระทำของผู้ที่ดูเนื้อหา
โดย Concept หลักที่สามารถเข้าใจได้ง่ายในการทำ YMYL Content SEO เช่น
- ต้องทำให้ Google เชื่อว่าเราเป็นเว็บโรงพยาบาล โดยเราก็ต้องตีโจทย์ต่อ ว่าเว็บโรงพยาบาลต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง
- ต้องทำให้ Google เชื่อว่าเราเป็นสถาบันการเงิน โดยเราก็ต้องตีโจทย์ต่อ ว่าเว็บธนาคาร ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ยังมี Concept ในการทำ YMYL Sites อื่น ๆ อีกมากมาย แต่ Google ได้ระบุไว้ว่าผู้ประเมินคุณภาพจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาว่าหน้านั้นมีคุณสมบัติเป็นเนื้อหา YMYL หรือไม่ โดยหน้าเนื้อหานั้น ๆ ต้องแสดงให้เห็นถึงหลักของ E-E-A-T ที่ผู้จัดทำนำมาใช้ในการสร้างเนื้อหาด้วย
ดังนั้น แม้ว่า E-E-A-T และ YMYL Topics จะไม่ใช่ปัจจัยการ จัดอันดับ SEO แบบโดยตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเราต้องสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพบนเว็บไซต์เพื่อดันให้ Google มองเห็นเราได้มากขึ้น
6 ขั้นตอนการใช้ E-E-A-T ให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวดีก็คือเราไม่จำเป็นต้องยกเครื่องกลยุทธ์ SEO ทั้งหมดเพื่อปรับปรุง E-E-A-T หรือ YMYL แต่อย่างใด เพียงแค่ปฏิบัติตาม 6 ขั้นตอนเพื่อปรับปรุง SEO E-E-A-T ของเว็บไซต์ของเราเท่านั้น ดังนี้
1. สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง
สิ่งแรกคือ YMYL Websites ของเราควรมีเนื้อหาที่ให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นอันดับแรก ซึ่งหมายถึงเนื้อหาที่ตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และทำให้ผู้อ่านรู้สึกพึงพอใจ
โดย Google ได้ระบุไว้ว่า เนื้อหาที่เป็นประโยชน์นั้นต้องมีลักษณะดังนี้
- เป็นต้นฉบับ (Original)
- เป็นประโยชน์กับผู้ใช้อย่างแท้จริง
- เขียนโดย “คน” เพื่อ “ผู้คน”
ดังนั้น พยายาม Recheck เนื้อหาของเราเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ามีประโยชน์และมี E-E-A-T และ YMYL ในระดับสูง
แม้ว่าครั้งหนึ่งเนื้อหาของคุณเคยมีประโยชน์ แต่มันก็จะไม่มีประโยชน์หากข้อมูลล้าสมัย ฉะนั้น จงสร้างเนื้อหาใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ชมของเราอยู่เสมอ
(หากคุณอยากคิด Content ได้รัว ๆ ไม่มีตัน ต้องไม่พลาดบทความนี้: 12 รูปแบบคอนเทนต์ที่ช่วยยกระดับธุรกิจของคุณ)
2. ให้ข้อมูลผู้เขียนเพื่อความโปร่งใส
เนื่องจาก หลักการ YMYL คือต้องการทราบว่าบุคคลที่เขียนเนื้อหาเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น อย่าลืมสร้างหน้า “เกี่ยวกับเรา” เพื่อแนะนำทีมของเราด้วย (ถ้ามี) รวมถึงหน้าผู้เขียนแต่ละคนเพื่อเน้นนักเขียนเฉพาะ ซึ่งอาจระบุประวัติผู้เขียน เช่น ประวัติประจำตัวของผู้เขียนและผลงานที่ผ่านมา เพื่อความน่าเชื่อถือให้ถูกต้องตามหลัก E-E-A-T และ YMYL นั่นเอง
ยังไงก็ตาม หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Local Business อย่างน้อยที่สุด ให้จ้างนักเขียนที่มีความสามารถในการค้นคว้าเพื่อสร้างเนื้อหาให้กับเว็บไซต์ หลังจากนั้นอาจจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบข้อมูลถึงความถูกต้องอีกครั้ง
โดยวิธีการคือ ให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตรวจสอบเนื้อหาของนักเขียนที่เราจ้างอีกที โดยสิ่งนี้จะช่วยให้เราสร้างความน่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ผิดได้มากที่สุดจะทำให้ถูกต้องตามหลัก YMYL มากที่สุด
ตัวอย่างเช่น ทีมการเงินของเราอาจไม่จำเป็นต้องมีทักษะในการสร้างเนื้อหาในบทความ SEO แต่สามารถตรวจทานบทความเกี่ยวกับการเงินเพื่อความถูกต้องหรือให้ใบเสนอราคาได้ เป็นต้น
3. ใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
เมื่อเริ่มต้นสร้างเนื้อหาตามหลัก YMYL สิ่งที่เราควรทำคือ ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลที่เรานำมาเขียนอยู่เสมอเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือนั่นเอง
โดยอาจทำการลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ การศึกษา เอกสารการวิจัย ฯลฯ ซึ่งอาจรวมถึงทวีตและบล็อกโพสต์โดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจของเรา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังควรใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ สิ่งเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามสาขา ตามธุรกิจ แต่อาจรวมถึงฐานข้อมูลทางวิชาการ สิ่งพิมพ์ข่าว หรือไซต์ของผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับ
ตัวอย่างที่ดีจาก Healthline ซึ่งเป็น YMYL Niches ในการทำ YMYL SEO
4. สร้างชื่อเสียงของแบรนด์ในเชิงบวก
เพราะชื่อเสียงของแบรนด์อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและไซต์โดยรวมของเราได้ตามหลัก YMYL ฉะนั้น การจัดการชื่อเสียงทางออนไลน์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Google EEAT SEO
ซึ่งหมายความว่าเราควรจับตาดูคำวิจารณ์หรือสื่อเชิงลบ หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้ตอบกลับทันทีและอย่างมืออาชีพ โดยตอบกลับรีวิวที่ไม่ดีและดี ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับลูกค้าสามารถช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ของคุณในระยะยาว
5. ใช้เนื้อหาการรีวิวจากผู้ใช้จริงเพื่อประโยชน์ต่อ YMYL
เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) หรือที่เราเรียก ๆ กันว่า การรีวิว คือเนื้อหาประเภทใดก็ตามที่สร้างโดยผู้บริโภคหรือผู้ใช้เว็บไซต์มากกว่าแบรนด์ เมื่อใช้งานได้ดี UGC สามารถทำหน้าที่เป็นสัญญาณความไว้วางใจและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้
ตัวอย่างเช่น 79% ของผู้ซื้อออนไลน์กล่าวว่า UGC มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา ดังนั้นการทำให้ฐานลูกค้าสนับสนุนแบรนด์ของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดย UGC สามารถรวมรูปภาพ วิดีโอ บทวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ วิดีโอ YouTube และบล็อกโพสต์ก็ได้เช่นกัน
ซึ่งวิธีหนึ่งที่เราสามารถรวบรวม UGC เพื่อปรับปรุง E-E-A-T และ YMYL ของเว็บไซต์ของเราได้ คือการกระตุ้นให้ลูกค้าที่พอใจแบ่งปันรูปภาพของผลิตภัณฑ์และแท็กชื่อแบรนด์ของเราให้ชัดเจน
ซึ่งทางแบรนด์สามารถแจ้งให้ลูกค้าโพสต์เกี่ยวกับแบรนด์บนแพลตฟอร์มโซเชียลโดยอาจส่งเป็นอีเมลสั้น ๆ หรือจัดการแข่งขันหรือมีเกมให้เล่นบนโซเชียลมีเดีย
โดยมีวิธีต่าง ๆ มากมายที่เราสามารถใช้ประโยชน์จาก UGC เพื่อปรับปรุง EEAT SEO และ YMYL ของเว็บไซต์ของเรา เช่น YMYL examples
- ใช้แฮชแท็กอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อจัดเรียงรูปภาพของผู้ใช้ที่ทำการแท็กมาในแต่ละช่วงได้อย่างง่ายดาย
- จัดการแข่งขันหรือแจกของรางวัล
- มีส่วนร่วมกับผู้ใช้เป็นประจำเพื่อสร้าง Interaction ที่มีคุณภาพ
- ใช้แคมเปญการตลาดที่มีอิทธิพลมากพอควร
- เมื่อใดก็ตามที่เราเน้น UGC บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลของเรา ให้ขออนุญาตจากผู้สร้างทุกครั้งในการนำ Content เหล่านั้นมาใช้ (และให้เครดิตผู้ใช้ในโพสต์นั้น ๆ ด้วย)
**และจำไว้ว่า**
การที่จะได้รับ UGC ที่มีคุณภาพนั้น เราต้องพยายามมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ของเราเป็นประจำเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้เหล่านั้นโต้ตอบกับแบรนด์ของเราเพื่อกระชับความสัมพันธ์และลดช่องว่างของกันและกันลงไป
6. สร้าง Backlink ที่เชื่อถือได้
การทำ Backlink เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ ซึ่งความน่าเชื่อถือนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้เราสามารถใช้หลัก E-E-A-T และ YMYL ในการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนอกจากประโยชน์ด้านนี้ มันยังทำให้คนอื่น ๆ ในแวดวงธุรกิจเดียวกันให้การยอมรับถึงความเป็นผู้นำในสายธุรกิจนี้ด้วย
โดยในตัวอย่างด้านล่าง จะเป็นหน้าเนื้อหาของเว็บไซต์ WWF ที่เชื่อมโยงไปยังแบรนด์เล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง
เนื่องจาก WWF เป็นหน่วยงานระดับโลก การได้รับลิงก์ย้อนกลับจาก WWF จึงเหมือนกับการได้รับการโอกาสครั้งใหญ่เลยทีเดียวในการทำ YMYL
ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างของการเป็น Backlink แบบธรรมชาติที่ได้รับการกล่าวถึงจากเว็บไซต์ระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือตามหลัก YMYL ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ ที่ถูก WWF กล่าวถึงนั้นก็จะได้รับความน่าเชื่อถือไปด้วย
นอกจากนี้ Backlink ยังเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO โดยตามกฎทั่วไป ยิ่งเราได้รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยู่ในอันดับการค้นหาของ Google มากขึ้นเท่านั้นตามหลัก YMYL ซึ่งตามความเป็นจริงนั้น มีหลายวิธีทีเดียวที่เราจะได้รับลิงก์ย้อนกลับง่าย ๆ แต่การเริ่มต้นที่ดีคือการสร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์จะดีและมั่นคงกับแบรนด์และเว็บไซต์ของเราที่สุด
ในกรณีที่จะสร้าง Backlink เอง มีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- สร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้ (เช่น อินโฟกราฟิกที่เป็นประโยชน์หรือวิดีโอแนะนำ)
- แชร์ภาพหรือข้อมูลที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย (และใส่ลิงก์ไปยังบทความของคุณในโพสต์เหล่านั้นเสมอ)
- เผยแพร่งานวิจัยต้นฉบับที่ผู้คนอาจต้องการแหล่งอ้างอิงและข้อมูลเพิ่มเติม
- สร้างคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับหัวข้อเฉพาะกลุ่มของเราที่สามารถปฏิบัติได้จริง
- เมื่อคุณสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงได้แล้ว ให้ติดต่อสื่อสิ่งพิมพ์อื่น ๆ และดูว่าสื่อดังกล่าวจะสนใจทำ Backink เพื่อเชื่อมโยงมาที่เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของเราหรือไม่
ท้ายที่สุด การทำให้เว็บไซต์และเนื้อหาบทความให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ E-E-A-T Factor และ YMYL ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะคอยรับประกันว่า เว็บไซต์ของเราจะสามารถติดอันดับในหน้าหนึ่งได้อย่างมั่นคง ยาวนาน และไม่ตกอันดับง่าย ๆ ด้วย
ทั้งนี้ เชื่อเหลือเกินว่า YMYL Google Update จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคต Google ต้องมีอะไรมาให้เรา Surprise และต้องปรับตัวอีกแน่นอน