6 ขั้นตอนที่ดีที่สุดในการทำ SEO Split Test เพื่อตรวจสอบ ROI ได้ง่ายขึ้น
เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการทราบ ROI (Return on investment) หรือผลตอบแทนจากการทำ SEO ว่าได้กลับมาเท่าไหร่ เพราะเป็นที่รู้กันนี้ว่าในการทำธุรกิจนั้นต้องมี “ทุน” และเมื่อเราลงทุนก็ต้องการ “กำไร” ดังนั้นการทราบว่าได้กำไรจากการทำ SEO ได้เท่าไหร่ เราต้องทราบผลตอบแทนทั้งหมดซะก่อน
ซึ่งการทราบ ROI นั้นมีประโยชน์ต่อการทำ SEO ในเรื่องอะไรบ้าง?
- การจัดสรรงบในการทำ SEO ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
- ทราบตัวเลขของผลตอบแทนที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวเลขนี้จริง
- สามารถทราบได้ว่าการปรับปรุงการทำ SEO ที่ได้ทำลงไปนั้นได้ผลจริงหรือไม่
สิ่งที่ได้กล่าวมานี้ นักทำ SEO จะสามารถทราบได้จากการหา ROI ด้วยวิธี Split Test เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด เพราะนอกจากเราจะรู้ถึง Return ที่แท้จรงแล้ว เรายังสามารถปรับแผน SEO จากการทดสอบแยกเว็บไซต์เพื่อนำไปต่อยอดในการเพิ่มผลตอบแทนให้ดีขึ้นอีกได้ด้วย
SEO Split Test คืออะไร?
การทดสอบ Split Test หรือชื่อเรียกที่หลายๆ คนอาจรู้จักว่า A/B testing คือ การทดสอบรูปแบบขององค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์เพื่อหารูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยที่วิธีการทำจะเป็นการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะทำการทดสอบออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน
ซึ่งวิธีการก็คือ ให้แบ่งการทำเว็บไซต์ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้เห็นแบบ A กลุ่มที่สองให้เห็นแบบ B แล้ววัดผลว่าแบบใดให้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ดีที่สุด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้อาจมีกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนหรือต่างกันก็ได้ แต่โครงสร้างและรูปแบบของเว็บไซต์ทั้ง A และ B อาจมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการทดสอบว่าเว็บไซต์แบบไหนคือตัวที่ตอบโจทย์ที่สุด
การทำ Split Test จะเป็นการทดสอบแบบ scale เล็กๆ ก่อนเพื่อทำให้การทดสอบดังกล่าวอยู่ในจุดที่นักทำ SEO ยังสามารถควบคุมได้ เมื่อได้ผลการทดสอบแล้วจึงค่อยไล่มาทดสอบในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ทำไมต้องใช้การทดสอบแบบ Split Test ?
พูดโดยสรุปเลยก็คือ การทดสอบเว็บไซต์แบบแยกนั้นจะทำให้นักทำ SEO สามารถสำรองข้อมูลและเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าคำแนะนำในการทำ SEO ของเรานั้นน่าเชื่อถือ (ในกรณีที่นักทำ SEO รับงานจากลูกค้า) ทั้งนี้ หากนักทำ SEO ต้องการเปลี่ยนข้อมูลหรือปรับโครงสร้างบางอย่างบนไซต์ของตนเองหรือของลูกค้าที่กำลังทำการทดสอบอยู่ Split Test จะเป็นตัวที่รวบรวมผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นไว้ ซึ่งหลักฐานตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา/ลูกค้า สามารถตัดสินใจแผนการทำ SEO ได้เร็วขึ้น
ความเป็นจริงที่ต้องเกิดขึ้นไม่ว่าผลการทดสอบแยกออกมาจะเป็นบวกหรือลบก็ตาม..
- หากผลเป็นไปในแง่บวก: ในกรณีที่รับงาน SEO จากลูกค้ามาทำ คำเสนอแนะของนัก SEO จะได้รับความน่าเชื่อถือและไว้ใจจากลูกค้ามากขึ้น เช่น หากผลของ Test กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมียอดเข้าชมเพิ่มขึ้นมาสัก 50% ก็จะสามารถทำให้ลูกค้าเอนเอียงมาทางคำแนะนำของคุณได้มากขึ้น
- หากผลเป็นไปในแง่ลบ: หากผลของการทดสอบแบบแยกออกมาไม่ดีตามที่คาด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาทำตามแผนที่นำมาทดสอบ และหลีกเลี่ยงวิธีที่ไม่เหมาะกับเว็บไซต์ของเราหรือของลูกค้าอีกด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม Split testing เป็นการทดสอบที่คล้ายกับเป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงรูปแบบของเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบ, ถูกจัดกลุ่มเป้าหมาย และ การทำเนื้อหาที่แตกต่างกัน การทำเช่นนี้จะทำให้การแนะนำต่อการทำแผน SEO มีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากมีหลักฐานของผลการทดสอบอย่างชัดเจนว่าอันไหนที่เวิร์คและอันไหนที่ไม่เวิร์ค ทั้งนี้ยังทำให้ลูกค้าเชื่อใจเรามากขึ้นอีกด้วย
6 แนวทางที่ดีที่สุดในการทำ SEO Split Test มีอะไรบ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นสำหรับลูกค้าเอเจนซี่หรือไซต์ของคุณเอง การทำ Split test แต่ละรายการที่คุณทำควรมีความเฉพาะเจาะจงและปรับให้เข้ากับเป้าหมายเฉพาะที่คุณพยายามทำให้สำเร็จ
ดังนั้น 6 แนวทางดังต่อไปนี้ จะเป็น Guidline เพื่อทำให้การทดสอบแบบแยกมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.มีสมมติฐานที่แน่ชัดในการทดสอบ
การทำ Split Test มีหลักการที่คล้ายกับการทดลองวิทยาศาสตร์ทั่วไป ว่าหลักที่เราคิดนั้นสามารถใช้ได้ผลหรือไม่ แล้วค่อยทำการทดสอบเพื่อหาคำตอบมาสนับสนุนหลักการของเรา
ซึ่งก่อนที่เราจะทำการทดสอบเราต้องรู้ตนเองก่อนว่าเราต้องการทราบอะไรจากการทดสอบในครั้งนี้
เช่น สมมติว่าคุณกำลังทำงานกับลูกค้าอีคอมเมิร์ซที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของพวกเขาในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2021 จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ คุณเชื่อว่าการเพิ่ม “วันหยุดปี 2022” ลงใน Meta Title ของลูกค้าจะช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของลูกค้าได้
โดยการทดสอบแบบแยกส่วน จะช่วยให้คุณสามารถทดสอบ Meta Title ใหม่ของคุณใน scale เล็กๆ ได้ ก่อนที่คุณจะเสียเวลาไปกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่นๆ ของไซต์
ข้อควรระวัง: หากการทดสอบของคุณมีการกำหนดกลุ่มที่แคบเกินไป ก็อาจทำให้ไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปผลที่เป็นประโยชน์ได้ ดังนั้น ให้พยายามเน้นองค์ประกอบที่มีผลกระทบสูงภายในเว็บไซต์ของคุณแทน (เช่น แท็กชื่อ องค์ประกอบส่วนหัว Meta description ฯลฯ) และเมื่อคุณกำหนดสมมติฐานได้ชัดเจนแล้ว คุณสามารถตั้งค่าการทดสอบที่เหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขนาดตัวอย่างของคุณใหญ่เพียงพอ
เช่นเดียวกับการทดสอบทางสถิติ การทดสอบแบบแยกส่วนจำเป็นต้องมีขนาดตัวอย่างที่ใหญ่พอที่จะสามารถสรุปผลที่ถูกต้องได้
ซึ่งหากอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ตรรกะนี้คล้ายกับหลักการการให้คะแนนระดับ 5 ดาวจากลูกค้าร้านอาหารหลายพันราย เทียบกับการให้คะแนนระดับ 5 ดาวจากผู้เข้าชมรายเดียว เป็นต้น
โดยมี 3 สิ่งที่ต้องคำนึงคือ
1.ตัวอย่างกลุ่มที่สร้างขึ้นมาต้องได้ Traffic ที่มากพอเพื่อที่จะทำการวิเคราะห์กลุ่มนั้นๆ ได้
2.กลุ่มทั้ง 2 ต้องมีแนวทางบางอย่างที่ไปในทางเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมของ Search Engine ขึ้น ผลกระทบจะได้เกิดไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการสรุปผลมากขึ้น
3.ทั้งสองกลุ่มนี้ยังคงต้องมีความหลากหลายร่วมอยู่ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการผันผวนที่จะเกิดขึ้น และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างได้
3.คอยสื่อสารกับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทดลองนี้เสมอ
ในกรณีที่การทดลองแบบแยกนี้เกิดขึ้นในองค์กรของผู้ที่ทำ SEO เอง การแจ้งเตือนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำ Split Testing เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถือว่าเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเพื่อที่ผู้ที่อาจได้รบผลกระทบดังกล่าวจะได้มีการเตรียมความพร้อมและวางแผนในการดำเนินงานตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย
4.รู้ Time Line แล้วทำตามแผน
สิ่งสำคัญที่นักทำ SEO ต้องรู้คือปริมาณวันและเวลาในการทดลองที่แน่ชัด ซึ่งแต่ละการทดลองอาจมีเวลาที่สั้น-ยาวแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยปกติต้องใช้เวลา 20 วันเป็นอย่างต่ำ แต่ก็ตามที่ได้กล่าวไปว่าแต่ละการทดลองใช้เวลาไม่เหมือนกัน ดังนั้น นักทำ SEO จึงจำเป็นต้องคาดการณ์ให้ได้อย่างแม่นยำที่สุด ทั้งนี้ เพราะเวลาในการทดลองมีความสำคัญทั้งในเรื่องของการเก็บผลการทดลองที่ต้องมีความเหมาะสม รวมถึงการเตรียมตัวของผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทดลงจะได้ทำการเตรียมตัวได้ทันเวลา (ในกรณีที่ทำการทดสอบแยกกับเว็บไซต์ขององค์กรตนเอง)
5.โฟกัสหน้าที่ดูมีแนวโน้มว่าจะสร้างผลลัพธ์ได้มากที่สุดของเว็บไซต์
โดยอาจเป็นหน้าที่สามารถสร้างรายได้ เช่น หน้า Product, หน้า Landing เป็นต้น
ซึ่งส่วนใหญ่หน้าเหล่านี้มักมีเทมเพลตที่เป็นประโยชน์เมื่อทำการทดสอบแยก โดยทั่วไปแล้ว หน้าที่มีเนื้อหาต่างๆ ดังกล่าวมักจะใช้เทมเพลตที่ครอบคลุมเนื้อหาประเภทเดียวกันในลักษณะเดียวกัน เช่น การมีปุ่ม CTA, การทำ Content หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับ Product เป็นต้น
ซึ่งทำให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น และยังเป็น เป็นสิ่งที่สำคัญแทบจะทุกธุรกิจ ในการทำการตลาดก็ว่าได้ ที่ทำให้เราเห็นผลลัพธ์และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ชัดเจนมากที่สุดอย่างหนึ่งในการทำ Content Marketing เพราะทุกๆ Call to Action มีผลต่อการหาลูกค้าใหม่ การขายสินค้า ช่องทางการติดต่อ และเพิ่มโอกาสในการขาย เพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจด้วย
การมุ่งเน้นไปที่หน้าเว็บที่มีผลกระทบสูงเช่นนี้ จะทำให้เราสามารถแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับเว็บไซต์ของเราหรือของลูกค้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้จะำให้นักทำ SEO กำหนดแนวทางและรูปแบบเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ง่ายและชัดเจนขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลดีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ขององค์กรตนเองหรือของลูกค้าก็ตาม
6.มีหน่วยการวัดคุณภาพที่ชัดเจน
สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “การประเมินผลทดสอบ” ของทั้ง 2 กลุ่มว่าท้ายที่สุดแล้วเว็บไซต์ไหนที่มีผลลัพธ์ที่ดีมากกว่ากัน ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้รู้ได้คือ การที่ผู้ทำการทดลองต้องมีหน่วยวัดการประเมินที่ชัดเจนว่าจะใช้ปัจจัยใดเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของแต่ละกลุ่มที่ถูกทดสอบกันแน่
วิธีที่ง่ายที่สุดอาจวัดจากจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากการคลิก (ทั่วไป), อัตราการคลิกลิงก์จากโฆษณา หรือ จำนวนครั้งในการปล่อยโฆษณา เป็นต้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการวัดผลลัพธ์จาก Conversion จะดีกว่า
เนื่องจากการทำ Split Testing ในแง่ของการทำ SEO นั้นจะมุ่งเน้นที่วิธีที่อัลกอริธึมของ Organic Search ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงไซต์ ไม่ใช่พฤติกรรมของผู้ใช้หลังจากที่คลิกเข้ามาถึงไซต์ของเราแล้ว
ทั้งนี้ หากหน้าเว็บของคุณได้รับการแก้ไขและปรับปรุงอย่างเหมาะสมและมีเนื้อหาที่ถูกต้อง Google จะสามารถรู้ประเภทของการเข้าชมเว็บไซต์ได้และส่งต่อไปยังตัว Conversion บนหน้าเว็บของคุณแบบ
ออร์แกนิก แต่หากหน้าเว็บของคุณยังมีโครงสร้างหรือเนื้อหาไม่ดีพอสำหรับตัว Conversion คุณควรแก้ไขปัญหานั้นก่อนที่จะเริ่ม Split testing เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า
ท้ายที่สุด การทดสอบแบบ A/B Testing หรือ Split Testing นั้นสามารถช่วยให้การทำ เว็บไซต์ มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นจริง โดยสิ่งที่คุณน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการทดสอบด้วย Split Testing ก็คือคุณจะสามารถรู้ได้เลยว่า ลูกค้าของคุณชอบ/ไม่ชอบ รูปแบบ Content ลักษณะไหน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ROI หรือการปรับรูปแบบและโครงสร้างใหม่ของเว็บไซต์ก็ตาม การทดสอบแบบแยกถือเป็นวิธีที่เสถียรและชัดเจนที่สุดสำหรับ SEO ยุคนี้เลยทีเดียว