คีย์เวิร์ดคืออะไร ทำไมสำคัญกับการทำ SEO คีย์เวิร์ดมีกี่ประเภท?
คีย์เวิร์ดคืออะไร ทำไมสำคัญกับการทำ SEO คีย์เวิร์ด คือ ขั้นตอนแรกในการทำตลาด SEO และ SEM มีความสำคัญอย่างมากต่อการเขียนบทความ SEO เนื่องจากการหาคีย์เวิร์ด จะช่วยให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าใช้คำค้นหาข้อมูลว่าอะไร ซึ่งทำให้คุณสามารถวางแผนในการทำการตลาดได้ง่ายขึ้น เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
คีย์เวิร์ด คืออะไร
คีย์เวิร์ด (Keyword) คือ คำหรือวลีที่ผู้ใช้ป้อนลงใน Search Engine เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้พบเจอสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา พูดง่ายๆว่า หากต้องการรู้ข้อมูลในเรื่องไหน ก็พิมพ์ลง Google เพื่อให้แสดงผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
คีย์เวิร์ด สำคัญอย่างไร
คีย์เวิร์ด (Keyword) มีความสำคัญอย่างมากต่อการค้นหาข้อมูลออนไลน์ เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างผู้ใช้กับข้อมูลที่ต้องการ กล่าวคือ เมื่อมีการค้นหาใน Google เกิดขึ้น คีย์เวิร์ด ค้นหามากที่สุด
ก็จะถูก Search Engine นับจำนวนไว้ หากคีย์เวิร์ดไหนถูกค้นหาจำนวนมาก Search Engine ก็จะประมวลผลเพื่อหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับคำค้นหานั้นๆจำนวนของคีย์เวิร์ด (Search Volume) บ่งบอกถึงจำนวนที่คนส่วนใหญ่มักค้นหาคียเวิร์ดนั้นๆ โดยคีย์เวิร์ดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการเขียนบทความ SEO การทำ SEO จะมีประสิทธิภาพการค้นหาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ Keyword
การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในหน้าค้นหาของ Search Engine เมื่อผู้ใช้ป้อนคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง การใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในเนื้อหา เมื่อมีคนเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น จะทำให้ต่อยอดเกี่ยวกับการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ได้
รู้จักประเภทของ Keyword เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสม
การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม มีความสำคัญต่อกลยุทธ์การทำ SEOและการตลาดออนไลน์ของการเข้าใจประเภทของ Keyword แต่ละประเภท จะช่วยให้เลือกใช้ Keyword ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของ Keyword แบ่งออกเป็น
1. Seed Keyword
เป็น Short-Tail Keyword Keyword คำสั้น ๆ กระชับ ให้ความหมายกว้าง ๆ มักจะเป็น 1-2 คำ เป็นจุดเริ่มต้นของการหา Keyword ไม่มีความเฉพาะเจาะจง มีปริมาณการค้นหาสูง แต่มี Conversion ต่ำ ช่วยให้เข้าใจ หัวข้อกว้าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือแคมเปญของเรา ช่วยให้เรา ค้นหา Keyword ที่เจาะจงยิ่งขึ้นช่วยให้เราเข้าใจ ความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมาย เช่น “อาหาร” “ท่องเที่ยว” “ความงาม”
2. Niche Keyword
คำหรือวลีที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง มีความยาวมากกว่า Seed Keyword (คำหลักกว้าง) แต่น้อยกว่า Long-tail Keyword (คำหลักยาว) Niche Keyword มักจะบอกถึง กลุ่มเป้าหมาย หรือ จุดประสงค์ในการค้นหา ที่ชัดเจน Niche Keyword มี ปริมาณการค้นหา (Search Volume) น้อยกว่า Seed Keyword แต่โอกาสที่คนค้นหาแล้วจะตัดสินใจซื้อ (Conversion Rate) กลับมีสูงกว่า
ตัวอย่างของ Niche Keyword
- Seed Keyword: รองเท้าวิ่ง
- Niche Keyword: รองเท้าวิ่งไซส์ 42
3. Long-Tail Keyword
- เป็น Keyword ที่ยาว ประกอบไปด้วย 4 คำขึ้นไป มีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่มีความเฉพาะเจาะจงสูง
- ตัวอย่าง: “ยี่ห้อรองเท้าวิ่งผู้หญิงไซส์ 38” “เสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูก” เหมาะสำหรับ เพิ่ม Conversion Rate
ตัวอย่างลักษณะ Keyword ที่ดี
ตัวอย่างลักษณะ Keyword ที่ดี จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของเว็บไซต์ มีคนใช้ค้นหา สามารถแข่งขันได้
ตัวอย่าง เว็บไซต์สอนทำอาหาร
- Seed Keyword เช่น “สูตรอาหาร”, “วิธีทำอาหาร”, “อาหารไทย”
- Niche Keyword เช่น “สูตรอาหารไทย”
- Long-Tail Keyword เช่น “สูตรอาหารไทย ภาคกลาง”
เว็บไซต์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง
- Seed Keyword เช่น ร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง
- Niche Keyword เช่น ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ออนไลน์ 24 ชม.
- Long-Tail Keyword เช่น ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ออนไลน์ 24 ชม. แถวลาดพร้าว
โปรแกรมหา Keyword (Keyword Search) ฟรี
1. Google Keyword Planner
เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้คุณค้นหา Keyword วิเคราะห์ปริมาณการค้นหา และดูแนวโน้มของ Keyword เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน ข้อจำกัด คือ จำเป็นต้องมีบัญชี Google Ads
2. Ubersuggest
Ubersuggest คือ เครื่องมือวิเคราะห์ Keyword และ SEO ฟรี พัฒนาโดย Neil Patel ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ชื่อดัง Ubersuggest ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ มีฟีเจอร์ครบครัน เหมาะสำหรับการทำ SEO สามารถดูข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้วิเคราะห์คู่แข่งได้
3. Keywordtool.io
Keywordtool.io คือ เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดฟรี ที่ช่วยให้คุณค้นหาไอเดียคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ มีจุดเด่นคือ ใช้งานง่าย เพียงพิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงในช่องค้นหา เครื่องมือจะแสดงรายการคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง คำถามที่พบบ่อย และตัวเลือกเพิ่มเติม เหมาะสำหรับการหาคีย์เวิร์ดยาว (Long-tail Keyword) ซึ่งมีการค้นหาน้อยแต่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ใช้งานได้ฟรีโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก
4. Ahrefs
Ahrefs คือ เครื่องมือ SEO ครบวงจรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน มีฟีเจอร์มากมายสำหรับ SEO ครบทุกด้าน เช่น Backlink Analysis, Keyword Research, Competitor Analysis, Site Audit, Rank Tracking, Content Explorer Ahrefs มีฐานข้อมูล Backlink และ Keyword ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียดและแม่นยำ
5. Semrush
Semrush เป็นแพลตฟอร์มแบบ All-in-one ที่ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัลสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทั้งฝั่งของตัวเองและคู่แข่ง โดยมีฟีเจอร์เด็ดๆครอบคลุม 5 ด้านหลัก คือ วิเคราะห์ SEO ของเว็บไซต์ เช่น ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง วิเคราะห์ Backlink ตรวจสอบ Traffic Sources และอื่นๆ อีกมากมาย วิเคราะห์แคมเปญโฆษณา PPC ของคู่แข่ง เช่น ค้นหาว่าคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดอะไร งบประมาณเท่าไหร่ โฆษณาแบบไหนที่มีประสิทธิภาพ จัดการโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ตั้งเวลาโพสต์ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของโพสต์ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ค้นหาหัวข้อคอนเทนต์ที่น่าสนใจ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของบทความและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด เช่น แนวโน้มของตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค สามารถใช้งานได้ทั้งฟรีและเสียเงิน
6. Google Search Console
Google Search Console (GSC) เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาของ Google ช่วยวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการค้นหาของ Google เช่น ลิงก์เสีย ปัญหาเกี่ยวกับมือถือ หรือหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ สามารถดูคำที่ผู้คนใช้เพื่อค้นหาเว็บไซต์ ดูว่าหน้าใดที่แสดงผลในผลการค้นหา และดูว่าคลิกไปที่เว็บไซต์บ่อยแค่ไหน โดยใช้ข้อมูลที่ GSC ให้มาสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ติดอันดับสูงกว่าในผลการค้นหาของ Google
7. Google Trends
Google Trends ใช้สำหรับสำรวจเทรนด์การค้นหา ของผู้คนบนโลกออนไลน์ ดูความนิยมของคำค้นหา คีย์เวิร์ดที่สนใจ แล้วดูว่าความนิยมในการค้นหาคำนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาอย่างไร Google Trends จะเปรียบเทียบความนิยมของคำค้นหาหลายคำ เพื่อดูว่าอันไหนที่คนสนใจค้นมากกว่ากัน ซึ่งมีส่วนในการใช้ศึกษาความสนใจของลูกค้า เพื่อวางแผนการตลาด คิดคอนเทนต์ หรือวิเคราะห์เทรนด์ เพื่อสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดที่ตรงจุด
8. Google Suggestion
Google Suggestion หรือที่เรียกว่า Google Autocomplete เป็นฟีเจอร์ของ Google Search ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาอะไรเร็วขึ้น โดยแสดงคำแนะนำการค้นหาขณะที่คุณกำลังพิมพ์คำค้นหาลงในช่องค้นหา แนะนำการค้นหาที่ผู้ใช้อื่น ๆบ่อยครั้ง ซึ่งหมายความว่าคำแนะนำจะสะท้อนถึงเทรนด์ปัจจุบันและหัวข้อที่นิยม
9. Wordtracker Scout
Wordtracker Scout เป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์ของ Google Chrome ที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากหน้าเว็บ เพียงแค่คุณเปิดเว็บเพจใดๆ Wordtracker Scout จะดึงข้อมูลคำหลักที่สำคัญและวลีที่เกี่ยวข้องออกมา พร้อมแสดงเป็นเวิร์ดคลาวด์ สามารถปรับแต่งเวิร์ดคลาวด์เพื่อดูเฉพาะคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากที่สุดกับเนื้อหาของหน้าเว็บ โดยแสดงข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละคีย์เวิร์ด เช่น ปริมาณการค้นหา Wordtracker Scout เป็นส่วนขยายของ Chrome จึงใช้ได้เฉพาะกับเบราว์เซอร์ Google Chrome เท่านั้น
10. KWFinder
KWFinder เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด (keyword) ที่ช่วยให้ค้นหาคำที่ผู้คนใช้ค้นหาบน Google หรือจาก URL ของเว็บไซต์ โดยแสดงข้อมูลคีย์เวิร์ด เช่น ปริมาณการค้นหา ความยากของคีย์เวิร์ด หรือ การแข่งขัน เปรียบเทียบคีย์เวิร์ดหลายคำ เพื่อดูว่าคำไหนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ที่มีการแข่งขันน้อย แต่มีโอกาสขึ้นอันดับใน Google สูง รองรับการค้นหาคีย์เวิร์ดภาษาไทย สามารถทดลองใช้ฟรีก่อนได้
วิธีหา Keyword SEO ให้ใช้ได้ผลจริง
1. วิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
- คุณต้องการอะไรจาก SEO?
- ต้องการเพิ่ม Traffic?
- ต้องการเพิ่ม Conversion Rate?
- ต้องการสร้างแบรนด์?
- กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร?
- พวกเขามีความสนใจอะไร?
- พวกเขาใช้คำอะไรในการค้นหาข้อมูล?
2. วิเคราะห์คู่แข่งของคุณ
- คู่แข่งของคุณใช้ Keyword อะไร?
- พวกเขาอันดับอยู่ที่เท่าไหร่บนหน้าค้นหา?
3. ค้นหา Keyword
- การค้นหา Keyword โดยใช้เครื่องมือหา Keyword เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, Keywordtool.io เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือก Keyword
4. วิเคราะห์และเลือก Keyword
- วิเคราะห์ปริมาณการค้นหา วิเคราะห์คู่แข่ง วิเคราะห์ Conversion Rate
- เลือก Keyword ที่มีความเกี่ยวข้อง มีความเฉพาะเจาะจง มีปริมาณการค้นหา และมีคู่แข่งต่ำ ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกคีย์เวิร์ดที่จะใช้ในการทำ SEO นั้นสำคัญมาก การจ้าง บริษัทรับทำ seo จะสามารถช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดได้ตรงเป้าหมาย และประหยัดเวลามากขึ้น Funnel เราพร้อมช่วยในการทำ SEO ให้ธุรกิจของคุณ ตั้งแต่กระบวนการเลือกคีย์เวิร์ด การเขียนบทความ SEO การติดตามผลลัพธ์ เพื่อนำมาปรับปรุงข้อแก้ไขและปรับใช้กับการหาคีย์เวิร์ดต่อๆไปให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ คีย์เวิร์ดคืออะไร
คีย์เวิร์ด หมายถึงอะไร
Widely keyword คืออะไร พร้อมยกตัวอย่าง
คีย์เวิร์ดมีกี่ประเภท
1. Seed Keyword เป็น Keyword คำสั้น ๆ กระชับ ให้ความหมายกว้าง ๆไม่มีความเฉพาะเจาะจง
2. Niche Keyword คำหรือวลีที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง มักจะบอกถึงกลุ่มเป้าหมาย
3. Long-Tail Keyword ประกอบไปด้วย 4 คำขึ้นไป มีความเฉพาะเจาะจงสูง